การภาวนา
การภาวนาไม่ได้หมายถึงการหลับตาทำสมาธิ หรือการเดินจงกรมเท่านั้น การภาวนาคือการพากายกับใจมาอยู่ด้วยกัน เราสามารถภาวนาได้เสมอ ทุกที่ ทุกเวลา เราจะอนุญาตให้ตัวเองมีเวลาจิบกาแฟเงียบๆ สัก 10 นาทีได้ไหม ภาวนากับถ้วยกาแฟของเรา ที่ไหนก็ได้ เราอาจจะนั่งเงียบๆ ตรงไหนสักแห่งตามลมหายใจไปพร้อมกับรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น รับรู้ความรู้สึกภายใน รับรู้เสียงภายนอก ปราศจากการต่อสู้และเปลี่ยนแปลง เหล่านี้คือการภาวนา
ลองกลับมารับรู้สิ่งที่เป็นอยู่ทั้งในตัวเราและนอกตัวเรา เราอาจจะพบว่าเรากำลังคิดวุ่นวาย เรากำลังรู้สึกหงุดหงิด เราไม่นิ่งเลย เมื่อเรารับรู้ ยอมรับ และยิ้มได้ นี่คือความสุขจากการภาวนา
ความสุขจากการภาวนา
นิเวศภาวนา : สู่การเดินทางแห่งจิตวิญญาณ
ท่ามกลางป่าคอนกรีตที่แวดล้อมด้วยเทคโนโลยี่ล้ำสมัย และเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสารพัด แต่ความจริงก็คือ หลายต่อหลายชีวิตตกอยู่ในความว่างเปล่า เหงาเศร้า ใช้ชีวิตอย่างไร้คุณค่า ไร้จุดหมาย ไร้แรงบันดาลใจ พวกเราเสพสิ่งเร้าต่างๆทางการบันเทิงเริงรมย์ เพื่อชดเชยความเครียดความเซ็งอย่างสิ้นหวัง ทั้งๆที่การมีชีวิตอย่างมีคุณค่าคือสิ่งสุดปรารถนาระดับจิตวิญาณ (Soul) บิล พล็อตคิน (Bill Plotkin) นักจิตวิทยาเชิงธรรมชาติ ได้กล่าวว่า ความทุกข์ของผู้ทุกข์มักมีเหตุจากชีวิตที่ห่างหายจากธรรมชาติ ธรรมชาติคือความปรารถนาทางจิตวิญญาณมนุษย์
เดินวิถีแห่งสติ : ทุกก้าวย่างอย่างตื่นรู้
เราควรฝึกสติทุกๆ วันและทุกๆ ชั่วโมง ประโยคนี้ดูจะพูดง่าย แต่ตอนปฏิบัติจริงไม่ใช่ของง่ายเลย ด้วยเหตุนี้ครูจึงเสนอแนะผู้ที่มาเรียนฝึกสมาธิกับครูว่า ให้หาวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์ เพื่ออุทิศให้กับการฝึกสติทั้งวันโดยเฉพาะ – ท่านติช นัท ฮันห์ (จากหนังสือ “ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ”) “การเดิน” คือ วิถีแห่งสติ ซึ่งไม่ใช่การเดินเร็วๆ หรือเร่งรีบ แต่เป็นการเดินช้าๆอย่างมั่นคง เดินอย่างมีสติมีสมาธิ
Sand Mandala : มณฑลทรายแห่งสัจจธรรม
งานศิลป์รูปทรงเรขาคณิต ที่ประกอบด้วยเม็ดทรายย้อมหลากสี สิ่งนี้คืองานพุทธศิลป์ที่เรียกขานกันว่า “พุทธมณฑลทราย” (Sand Mandala) อันเป็นศิลปวัฒนธรรมขั้นสูงของพระทิเบต นิกายมหายานคำว่า Manda หมายถึงที่นั่งหรือแก่นแท้ โดยใช่คู่กับคำว่า โพธิ อันหมายถึงใต้ต้นโพธิซึ่งพระพุทธเจ้าทรงบรรลุธรรม ส่วนคำว่า La มีความหมายว่า “วงล้อที่หลอมรวมสรรพสาระทั้งมวล” รวมความแล้ว Mandala จึงหมายถึง
ขอให้คุณโชคร้าย
“ผมขอให้คุณโชคร้าย” . ย้อนหลังไปสัก 2 เดือนที่แล้ว ประโยคนี้เป็นประโยคเด็ดที่มีผู้คนกล่าวขานและแชร์กันมากที่สุดในโซเชียล มีที่มาจากสุนทรพจน์อันโด่งดังในวันสำเร็จการศึกษาที่ Cardigan Mountain School รัฐนิวแฮมป์เชียร์ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเจ้าของประโยคเด็ดนี้คือ ท่านผู้พิพากษา John Roberts ผู้ดำรงตำแหน่งประธานศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกานั่นเอง . ช่วงหนึ่งของการกล่าวสุนทรพจน์ ท่านประธานศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาได้กล่าวว่า ปกติแล้วในวันจบการศึกษา
5 วิธีที่จะหยุดกังวลกับเรื่องที่คุณเปลี่ยนมันไม่ได้
มีความจริงเกี่ยวกับชีวิตอย่างหนึ่งที่หลายคนปฏิเสธ นั่นคือ เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิตให้เป็นไปดังใจได้ แต่หลายคนไม่เชื่อและไม่ยอมรับ และพวกเขากลายเป็นพวกบ้าที่ชอบควบคุมไปทุกสิ่งอย่าง คนพวกนี้จะจู้จี้ จุกจิก กับการทำงานของคนอื่น หรือ พยายามทำงานเองทุกอย่าง และคอยบังคับคนอื่น ๆ ให้เปลี่ยนแปลง พวกเขาเชื่อว่าหากสามาาถควบคุมคนและสถาณการณ์ได้ ก็จะไม่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น ส่วนคนอีกกลุ่มอาจจะพอรู้ว่า พวกเขาไม่สามารถที่จะป้องกันเรื่องร้าย ๆ
เยียวยาใจด้วยเมตตา
…ในวันที่น้ำตา ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของความเศร้า… ระยะนี้มีข่าวคราวการสูญเสียมาให้เราได้ยินได้ฟังติดต่อกันหลายข่าว ไม่ว่าใครเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียล้วนเป็นทุกข์ แม้เราเองแค่เป็นผู้ได้ยินข่าวบางครั้งก็ยังอดเศร้าสะเทือนใจไม่ได้ แต่ความจริงอีกด้านก็คือ เราทุกคนล้วนต้องเจอกับความสูญเสียไม่ช้าก็เร็ว คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย ถ้าเราจะสามารถเปลี่ยนพลังลบจากความเศร้า ให้เป็นพลังบวกทั้งต่อชีวิตของเราและผู้อื่นได้ ต่อไปนี้คือบทความจากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ที่ได้แนะนำแนวทางให้เราเยียวยาใจที่เป็นทุกข์จากความสูญเสียด้วยความเมตตา ให้เราเปลี่ยนความทุกข์ในใจ กลายเป็นพลังที่จะออกไปช่วยเหลือผู้อื่นให้คลายจากความทุกข์ และเมื่อนั้น…ความสุขในชีวิตของเราจะกลับมากี่ครั้ง