แสงของตะเกียง
ตอนเรียนจบรู้สึกว่าตัวเองมีการศึกษา แต่ภายในไม่ได้เปลี่ยนมาก แต่เมื่อพบพระ รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากจริงๆ เปลี่ยน 180 องศา เปลี่ยนทั้งหมด เปลี่ยนความคิด ทัศนคติ การใช้ชีวิต มีความหวัง มีพลัง เห็นด้านดีงามของโลก ไม่ร้องไห้อีกเลย ไม่กลัวอนาคต ในการใช้ชีวิตที่มีอยู่ขอเพียงให้เป็นชีวิตที่ดี
ทีมของเราได้คำแนะนำว่า มีเรื่องราวของจิตอาสาสาวคนหนึ่งที่เป็นหญิงสาวพิการแต่กำเนิด “ตะเกียงพิการแต่ชอบทำกิจกรรมจิตอาสามาก ร่างกายก็ไม่พร้อมและก็ไม่ใช่คนฐานะดี แต่น้ำใจงาม พี่น่าจะลองคุยดูนะ” — นั่นคือที่มาของการนัดคุยกัน ในช่วงแรกตะเกียงบ่ายเบี่ยงไม่อยากเปิดเผยตัวเท่าไรนัก เธอไม่ชอบออกสื่อ แต่เมื่อบอกว่า เรื่องราวนี้อาจจะเป็นประโยชน์และให้แรงบันดาลใจกับหลายคน เธอก็ตกลง “ถ้าพี่ว่ามันจะเป็นประโยชน์ก็ได้ค่ะ อะไรที่จะเป็นประโยชน์กับคนอื่น เกียงก็อยากทำ” — บทความนี้จึงเกิดขึ้น
ตะเกียง กังสวิวัฒน์ (เกียง) เล่าว่า เธอเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งเป็นโรคหายากและเป็นผลมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม พี่สาวคนหนึ่งของเธอก็ป่วยด้วยโรคนี้และจากไปเมื่ออายุ 13 ปี “ที่บ้านเล่าว่า เริ่มเห็นว่าเกียงมีปัญหาในช่วงเตรียมหัดเดิน (ขวบปีแรก) เกียงล้มแล้วไม่ยอมลุก พอไปตรวจที่โรงพยาบาลหมอก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เกียงมีพี่สาวซึ่งป่วยเป็นโรคนี้อยู่ก่อนแล้วด้วยค่ะ”
การเป็นลูกพิการคนที่สองทำให้เธอเห็นหลายแง่มุมในชีวิต “ตอนที่พี่สาวยังมีชีวิตอยู่ พ่อแม่พยายามสู้เพื่อพี่ทุกวิถีทาง พาไปหาหมอหลายแบบ หมอในโรงพยาบาล หมอทางเลือก หมอพื้นบ้าน ฯลฯ มีหมอคนหนึ่ง บอกว่า เขาจะทุบกระดูกของพี่ทั้งหมดเพื่อจัดโครงสร้างร่างกายขึ้นใหม่ แต่พ่อกับแม่ตัดสินใจไม่ทำเพราะรู้สึกว่าน่ากลัวและมันคงจะทรมานเกินไป หลังจากพี่สาวเสียชีวิต เกียงรู้สึกว่าพ่อแม่ปล่อย เลิกสู้ ส่วนหนึ่งคงเป็นประสบการณ์จากพี่สาว และอีกส่วนก็คงทำใจเพราะหมอบอกว่า เกียงจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 20 ปี เขาไม่อยากให้เกียงต้องทรมานเหมือนพี่และคงทำใจว่าอีกไม่นานเกียงก็คงตายเหมือนกัน
เกียงรู้ว่าตัวเองจะต้องตายภายในอายุ 20 ตั้งแต่จำความได้ ได้ยินหมอพูดบ่อยๆ คนในครอบครัวก็พูดตลอดเวลา แขกไปใครมาก็เล่าให้ทุกคนรู้— ครอบครัวของเกียงเป็นครอบครัวคนจีนโบราณ ไม่ได้มีความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก เป็นการเลี้ยงดูแบบโบราณหน่อย
เด็กเล็กๆ ที่ถูกพิพากษา
ในความเป็นเด็กพอได้ยินว่าจะต้องตายในอีกไม่นานนี้ ก็รับรู้ความเป็นตัวเองมาเรื่อยๆ คิด กลัว กังวล แต่ไม่รู้จะบอกกับใคร เกียงเป็นเด็กคิดมากมาแต่ไหนแต่ไร รู้สึกว่าชีวิตของเราไม่มีอนาคต จะทำยังไงดี จะอยู่ไปทำไม กลางคืนก็แอบนอนร้องไห้ คำพูดของหมอมันติดหู ติดอยู่ในหัว เหมือนคำพิพากษาที่ฝังลึก ทุกครั้งที่ขึ้นปีใหม่ใกล้วันเกิด รู้สึกว่าเข้าใกล้เส้นตายที่หมอขีดเอาไว้ ใกล้ที่จะต้องตายในทุกวันๆ ที่โตขึ้น (โอ๊ย !!!)
ในช่วง 6-10 ปีแรก เกียงได้เรียนหนังสือที่โรงพยาบาลเลิดสิน ได้ทำกายภาพบำบัด เป็นสมาชิกยุคแรกของมูลนิธิเพื่อเด็กพิการ (มพก.) ได้ทำกิจกรรม ได้ออกค่าย ได้เจอพี่ๆ อาสาสมัคร มีความสุขและชอบมาก— ช่วงนั้นที่บ้านจ้างพี่เลี้ยงให้คอยรับ-ส่ง พี่เลี้ยงคอยอุ้มขึ้น-ลงรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งพอเกียงโตขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มไม่ไหว ในที่สุดพี่เลี้ยงคนนั้นก็ลาออก ที่บ้าน ตัดสินใจให้เกียงอยู่บ้าน ทำให้เลิกเรียนไปโดยปริยาย
จริงๆ แล้วมูลนิธิฯ แนะนำครอบครัวให้ส่งเกียงเข้าโรงเรียนเฉพาะทางสำหรับผู้พิการ เช่น โรงเรียนศรีสังวาลย์ จะได้เรียนหนังสือและฝึกการช่วยเหลือตัวเองเพิ่มขึ้น แต่ที่บ้านไม่ตกลง ไกล เป็นห่วง ไม่มีคนรับ-ส่ง ฯลฯ ในที่สุดก็ไม่ได้เรียน ประกอบกับครอบครัวฐานะไม่ดีนัก พ่อแม่มีลูกหลายคนที่ต้องดูแลส่งเสีย (เดิมตะเกียงมีพี่น้อง 6 คน ปัจจุบันเสียชีวิต 2 คน แข็งแรง 3 คน และตะเกียง-พิการ 1 คน)
— ขณะนั้นที่บ้านมีกิจการ เป็นโรงงานพลาสติกขนาดเล็ก เกียงช่วยเป็นเสมียน ลงบัญชีเล็กๆ น้อย อยู่กับคนงาน อยู่กับโต๊ะทำงาน จำได้ว่าเหงามาก คิดมาก พอสักสิบขวบเศษๆ ก็เริ่มวางแผนที่จะจบชีวิต แต่ก็เป็นการคิดแบบเด็กๆ พยายามหาทางออกให้ตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ทำ
ได้เรียนอีกครั้ง
ช่วงที่เกียงอายุ 17 ปี พี่สาวคนหนึ่งมีแฟน และแฟนของพี่สาวเป็นคนแนะนำว่า เกียงน่าจะเรียนหนังสือนะ เรียนด้วยตัวเองและอยู่บ้านที่บ้านนี่แหละ เขาแนะนำให้รู้จักการศึกษานอกโรงเรียน การสอบเทียบและการเรียนในหลักสูตรของ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช — เกียงมีเงินเก็บส่วนตัวจากการทำงานเสมียนของที่บ้านมาตั้งแต่เด็กก็ใช้เงินนั้นเป็นค่าใช้จ่ายส่งตัวเองเรียนหนังสือ เริ่มเรียนในหลักสูตรของ กศน. สอบเทียบระดับประถม มัธยม เรียนต่อในระดับปริญญาตรี และเรียนจบปริญญาตรีเมื่ออายุ 21 ปี !!!
ตะเกียงบอกว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะเธอเคยเรียนหนังสือในช่วง 6-9 ขวบ เรียกว่าอ่านออกเขียนได้ ช่วงที่อยู่บ้านก็ได้อ่านหนังสืออยู่พอสมควร
ช่วงที่ออกจากโรงเรียนใหม่ๆ ต้องอยู่บ้านมีเพื่อนพ่อสอนให้อ่านหนังสือพิมพ์ ถัดจากนั้นหนังสืออะไรก็อ่านหมด การ์ตูน นิยาย เรื่องสั้น หนังสือทั่วไป ฯลฯ ช่วงที่ได้กลับมาเรียนไม่รู้สึกว่ามีปัญหาเรื่องการอ่านเลย สิ่งที่ยากวิชาคณิตศาสตร์ในช่วงที่เรียนปริญญาตรี แต่ในที่สุดก็เรียนจนจบได้ปริญญา
ก่อนที่ตะเกียงจะเรียนจบเล็กน้อย คุณพ่อเสียชีวิต ครอบครัววิกฤติอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อผ่านมาได้ พี่สาวคนหนึ่งก็เตรียมแต่งงานสร้างครอบครัว จึงเข้ารับการตรวจร่างกายซึ่งต้องพาตะเกียงไปด้วยเพราะเป็นการตรวจวิเคราะห์โรคทางพันธุกรรม
“วันนั้นไปหาหมอกับพี่สาว หมอก็พูดอีกว่าโรคที่เป็นอยู่นี้เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม — เกียงเบื่อและไม่อยากได้ยินคำพูดย้ำๆ ในเรื่องนี้ แล้วหมอก็พูดทำนองว่า ที่พี่สาวไม่พิการมันเป็นความโชคดี แต่เกียงโชคร้าย เป็นคนรับเคราะห์ก็เลยพิการ และจะอายุไม่ยืน— จำไม่ได้ทั้งหมดว่าหมอพูดอะไรบ้าง สิ่งที่จำได้คือ มันเหมือนเป็นวันที่โลกถล่มทลาย ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ทำไมเราไม่มีอนาคตเ“วันนั้นไปหาหมอกับพี่สาว หมอก็พูดอีกว่าโรคที่เป็นอยู่นี้เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม — เกียงเบื่อและไม่อยากได้ยินคำพูดย้ำๆ ในเรื่องนี้ แล้วหมอก็พูดทำนองว่า ที่พี่สาวไม่พิการมันเป็นความโชคดีที่เกียงได้มารับส่วนที่เขาต้องพิการไปแทน — จำไม่ได้ทั้งหมดว่าหมอพูดอะไรบ้าง สิ่งที่จำได้คือ มันเหมือนเป็นวันที่โลกถล่มทลาย ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ตอนนั้นรู้สึกเหมือนชีวิตอ้างว้างว่างเปล่ามาก พยายามจนเรียนจบปริญญาแล้ว แล้วก็ไม่เห็นว่าชีวิตจะมีความหมายอะไร เกิดมาทำไม เพื่ออะไร ทำไมถึงต้องเป็นเราที่รับเคราะห์ รู้สึกว่าโลกไม่ยุติธรรม ฯลฯ โกรธ! โกรธไปหมด โกรธทุกคน โกรธทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ โกรธพระเจ้า ทั้งโกรธและเสียใจ — คืนนั้นนอนร้องไห้จนหลับไป”ลย ชีวิตไม่มีความหมาย เกิดมาทำไม เพื่ออะไร ทำไมถึงต้องเป็นเราที่รับเคราะห์ รู้สึกว่าโลกไม่ยุติธรรม ฯลฯ โกรธ! โกรธไปหมด โกรธทุกคน โกรธทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ โกรธพระเจ้า ทั้งโกรธและเสียใจ — คืนนั้นนอนร้องไห้จนหลับไป”
เกิดใหม่อีกครั้ง
วันรุ่งขึ้น พอตื่นไม่นาน ก็มีคนโทรศัพท์มาหาซึ่งเกียงไม่รู้จัก เขาบอกว่า “เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนะ แต่เขาเป็นคนพิการเหมือนกัน เขาอยากโทรมาเพราะอยากให้กำลังใจ ก่อนวางสายเขาได้อ่านบทกลอนที่แต่งขึ้นจากชีวิตตัวเองให้เกียงฟัง”
มันเป็นจังหวะที่แปลกมาก เมื่อคืนเกียงเต็มไปด้วยความโกรธ เสียใจ ในใจมีแต่คำถาม คำต่อว่า — ต่อว่าพระเจ้า เขาว่าพระเจ้าทำให้เราเกิดมา แล้วพระเจ้ามีจริงไหม ถ้ามีจริงให้เราเกิดมาทำไม ทำไมถึงทำกับชีวิตของเราแบบนี้ ฯลฯ — คนที่โทรเข้ามา ราวกับอ่านใจได้ เขาพูด คุย และเนื้อหาในการคุยก็คล้ายกับการตอบคำถามที่อึงอลอยู่ในใจของตะเกียง เขาบอกว่า “พระเจ้ามีอยู่จริงๆ นะ พระองค์ดูแลเราอยู่ และไม่เคยทิ้งเรา”
.
เกียงรู้สึกเหมือนว่า เมื่อคืนเราเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ ส่งสัญญาณ SOS แล้วพอรุ่งเช้าเขาก็ส่งความช่วยเหลือมาให้ผ่านโทรศัพท์สายนั้น — พี่คนนั้นเป็นคริสเตียน เขาอ่านกลอน*ที่เขาแต่งให้ฟัง แค่ได้ฟังก็น้ำตาไหล ตอนนั้นเกียงรู้สึกเหมือนกับว่า ได้พบสิ่งที่แสวงหามาตลอด ตอนนั้นเกียงไม่ไหวแล้ว ถ้าเช้าวันนั้นไม่มีโทรศัพท์สายนั้นก็คงไม่ได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้แน่ๆ วันนั้นรู้สึกว่าได้กำลังใจ ชีวิตไปต่อได้ รู้สึกว่ามีที่พึ่ง รับรู้ถึงพลังของความมีสันติสุขที่ไหลเข้ามาในใจ — หลังจากนั้นเกียงก็ตัดสินใจเปลี่ยนศาสนา เข้าเรียนคำสอน รับศีลล้างบาปเป็นคาทอลิก (ซึ่งไม่ใช่นิกายเดียวกับผู้ที่โทรเข้ามา) นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต
ตอนเรียนจบเกียงรู้สึกว่าตัวเองมีการศึกษา ได้เรียน แต่ภายในไม่ได้เปลี่ยนมาก แต่เมื่อพบพระ เกียงรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากจริงๆ เปลี่ยน 180 องศา เปลี่ยนทั้งหมด เปลี่ยนความคิด ทัศนคติ การใช้ชีวิต ไม่มีความคิดเรื่องการทำร้ายตัวเองอีกแล้ว รู้สึกว่ามีความหวัง มีพลัง เห็นด้านดีงามของโลก มีศรัทธาในพระ ไม่ร้องไห้อีกเลย ไม่กลัวอนาคต เวลาที่มีคนถามถึงความตาย เมื่อก่อนเราไม่อยากได้ยิน กลัวคำถามแบบนี้ แต่ทุกวันนี้รู้สึกเฉยๆ รู้สึกว่าเมื่อไรก็เมื่อนั้น แล้วแต่พระ ขอเพียงแค่ในการใช้ชีวิตที่เรามีอยู่ก็ขอเพียงให้เป็นชีวิตที่ดี
เหมือนได้เจอความรักที่แท้จริงซึ่งเป็นสิ่งที่แสวงหามาตลอดชีวิตแต่ไม่เคยพบ ไม่เคยได้จากใคร ทุกวันนี้เกียงก็ไม่เคยเจอความรักนี้ในมนุษย์ ได้รู้ว่าความรักแบบนั้นมีอยู่จริงๆ ได้สัมผัสความรักนั้น แค่นี้ก็พอแล้ว ชีวิตไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
นี่เป็นเหตุสำคัญหรือเปล่าที่ทำให้ทำงานจิตอาสา
ทั้งใช่และไม่ใช่ค่ะ การที่รู้จักความรักของพระ ทำให้เกียงมีพลัง แต่ความประทับใจต่อการเป็นอาสาสมัครหรือจิตอาสามีมาก่อนหน้านั้นแล้ว
.
สมัยเด็กๆ (ก่อน 10 ขวบ) ที่เกียงได้เรียน ได้ร่วมกิจกรรมกับมูลนิธิเพื่อเด็กพิการ (มพก.) เคยไปค่ายอาสาหลายครั้ง เรื่องหนึ่งที่ประทับใจคือเกียงได้ไปค่ายที่รวมคนพิการทุกประเภท มีพี่อาสาสมัครคอยช่วยเหลือ ให้การดูแลพวกเรา มีการก่อกองไฟ เหตุการณ์ที่ประทับใจคือ มีพี่อาสาคนหนึ่งเขาพาเกียงขี่หลัง เขาผูกผ้าขาวม้ามัดตัวเราไว้กับหลังของเขา แล้วก็ขึ้นไปบนภูเขา ไปปีนเขา เกียงชอบและมีความสุขมากเลย มันเป็นครั้งที่เกียงมีความสุขมากจริงๆ และประทับใจมากๆ
ค่ายอาสาที่รวมเด็กพิการทุกประเภทแบบนี้มีคนดาวน์ซินโดรมมาร่วมด้วย เกียงชอบอยู่กับคนที่เป็นดาวน์ซินโดรม รู้สึกว่าเขาน่ารัก มองโลกสดใส สบายใจเวลาอยู่ได้อยู่ใกล้ๆ พวกเขา
ปัจจุบันเกียงเป็นชาวคาทอลิก คำสอนหลักคือการแบ่งปัน ซึ่งช่วยเยียวยาตัวเองมากๆ — เวลามีปัญหาแล้วจมอยู่กับตัวเอง ปัญหาจะดูใหญ่ขึ้นๆ แต่ถ้าเรารู้สึกทุกข์ใจแล้วได้ออกไปช่วยคนอื่น ปัญหาส่วนตัวของเราจะเบาลง — เราอาจจะคิดว่าเราไปช่วย แต่จริงๆ แล้วเราไปเยียวยาตัวเอง เราได้ เรากำลังช่วยเหลือตัวเอง
เกียงชอบไปเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาล ไปให้กำลังใจคนป่วย …พูดว่าไปให้กำลังใจเขา แต่จริงๆ คนป่วยนั้นแหละที่ให้กำลังใจเกียงกลับมา เกียงได้กำลังใจกลับมาใช้ชีวิตต่อ ปัจจุบันเกียงเป็นนักขับร้องประสานเสียงในโบสถ์ ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ เช่น ออกไปเยี่ยมผู้ป่วย HIV ทำกิจกรรมในโรงพยาบาล ออกไปให้กำลังใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย ไปร้องเพลงหรือสวดภาวนาให้ คนป่วยเหล่านี้แค่ได้เห็นเรา เขาก็มีความสุข เกียงรู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในการทำกิจกรรมแบบนั้น และมีความสุข เป็นงานที่เกียงรู้สึกรัก ทำไปได้เรื่อยๆ และอยากทำให้จริงจังมากขึ้น
.
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ขณะนี้เกียงกำลังเรียนเป็นนักศิลปะบำบัด พอได้เรียนศิลปะบำบัดก็รู้สึกว่ามันช่วยการทำงานด้านในได้จริงๆ เป็นการเยียวยาที่ลึกซึ้ง ทรงพลัง ตอนนี้เรียนเพื่อเยียวยาตัวเองก่อน แต่ความคิดไกลๆ ก็คือ อยากจะใช้สิ่งนี้เพื่อให้คนอื่นโดยเฉพาะผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่เกียงเป็นอาสาสมัครอยู่ ให้ได้เยียวยาด้วยเหมือนกัน
……………………………………………………………………………..
*บทกลอนที่ส่งผลต่อชีวิตของตะเกียง (เธออัศจรรย์ใจที่ยังคงจำได้ดีแม้เวลาจะผ่านมากว่า20ปีแล้ว เจ้าของบทกลอนก็จำไม่ได้แล้ว)
ชีวิตฉันเหมือนอยู่ในโลกกว้าง
มันอ้างว้างเหมือนหมอกที่ทึบหนา
กางแขนออกเพียงหวังจะพบพาน
ผู้ช่วยด้วยหวังเพียงจะพ้นภัย
มีมือหนึ่งเอื้อมมาสัมผัสฉัน
อุ่นไอนั้นวิญญาณฉันรู้เห็น
ช่วยประคองเพราะเดินแสนยากเย็น
พระผู้เป็นอยู่ใกล้ใจไม่กลัว
เมื่อน้ำตาไหลรินยิ้มไม่ออก
พระเจ้าปลอบลูกเอ๋ยพ่อแลเห็น
แม้นเจ้าทุกข์สุดแสนจะลำเค็ญ
พ่อจะเป็น “พระผู้ช่วยคอยคุ้มภัย”
ติดตามเรื่องการเข้าอกเข้าใจกันได้ที่ อ่านมนุษย์ https://human.happinessisthailand.com/