เด็กๆ ชั้น 11 (สิ่งดีๆ ในชีวิต)
ยี่สิบปีที่แล้วในยุคที่ข่าวสารยังไม่แพร่หลายขนาดนี้ การจะรู้ว่าเราป่วยเป็น “โรคซึมเศร้า” ไม่ง่ายเลย
ฉันจมอยู่กับโรคนี้เพราะคิดว่าเป็นไมเกรน และวางแผนฆ่าตัวตายหลายครั้ง วันที่เดินออกมาจากโรงพยาบาลแผนกจิตเวช จำได้ว่าตอนข้ามสะพานลอยอยากจะโดดดิ่งลงมามาก
.
แต่กระนั้นฉันก็เดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกกลวงๆ โบ๋ๆ ข้างใน
กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางถูกเปลี่ยนหมอไปสามครั้ง ทั้งปรับยาที่กิน ปรับใจให้ยอมรับ กว่าจะคลี่คลายความรู้สึกที่จมดิ่ง มันไม่ใช่แค่ใช้เวลา แต่ใช้พลังชีวิตเยอะมาก เพื่อให้ก้าวข้ามหล่มหลุมที่จ่อมจมลงไป
.
.
จนกระทั่งเดือนกันยายน ปี 2559 แสงสว่างก็พาดผ่านความขมุกขมัวของชีวิต ด้วยข้อความประกาศรับสมัครจิตอาสาศิลปะกับเด็กป่วยที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง สองอาทิตย์ต่อมาก็ได้รับการตอบรับ แต่ต้องเข้าอบรมเบื้องต้นเพื่อให้รู้ว่าเด็กป่วยที่เราจะไปพบ ไปทำกิจกรรมศิลปะ เป็นใคร อย่างไร ในเดือนถัดมาฉันรู้สึกได้ว่าสิ่งดีๆ ในชีวิตกำลังเริ่มต้น รู้สึกได้ถึงนิมิตหมายดีๆ ที่จะเกิดขึ้น
.
.
ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นๆ ที่เป็นโรคซึมเศร้าจะเป็นแบบฉันหรือไม่ คือไม่ค่อยอยากออกนอกบ้าน ฉันมักปฏิเสธนัดหมายกับเพื่อนที่นัดกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ (จนเพื่อนด่าและอยากเลิกคบ)
.
การมาทำกิจกรรมจิตอาสาศิลปะบำบัดกับเด็กป่วยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยอิดออด และมักตื่นเต้นทุกครั้งที่จะได้พบเด็กๆ นำของเล่นไปให้พวกเขาได้สนุกได้เล่นอวดป้าๆ ว่า “ นี่หนูทำได้” อวดสร้อยข้อมือที่ร้อยเอง อวดกล้องส่องทางไกลที่ปิดกระดาษสีเอง อวดตุ๊กตาที่ปั้นจากแป้งโดว์ อวดหน้ากากฮีโร่ที่ลงสีสันสวยงาม และอีกหลายๆ อย่างที่เด็กๆ อยากอวด พร้อมด้วยรอยยิ้มและแววตาบ่งบอกความสนุกสนาน
.
.
ที่โต๊ะศิลปะเล็กๆ นั้นเด็กบางคนเดินมาพร้อมเสาเเขวนน้ำเกลือ แม้แขนข้างหนึ่งจะมีเข็มเสียบคาอยู่ หรือเมื่อออกมาจากห้องตรวจคราบน้ำตายังไม่ทันแห้ง แต่ก็กลับมาระบายสีตุ๊กตาที่ระบายค้างไว้ก่อนเข้าห้องตรวจให้แล้วเสร็จ
.
พวกเราพี่ๆ ป้าๆ จิตอาสาช่วยกันคิด สรรหาของเล่นเรียบง่ายแบบบ้านๆ แต่เด็กๆ ก็รู้สึกว้าวเมื่อได้เล่น ไม่ว่าแกนทิชชู่สองอันที่กลายเป็นกล้องส่องทางไกล กระดาษแข็งตัดเป็นแถบยาวแล้วหุ้มด้วยซองพลาสติกของผงซักฟอกซึ่งล้างสะอาดแล้วที่กลายเป็นมงกุฎน้อยๆ ของสาวๆ ที่อยากให้มงลงในวันที่มาหาหมอ นาฬิกาเบนเทนที่ฮิปมากสำหรับเด็กทุกคนเมื่อเราติดนาฬิกาให้แล้วกระซิบว่า “ไม่ต้องร้องไห้นะ เพราะหนูมีพลังเบนเทนแล้ว” หลายครั้งที่ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ แต่ก็แอบเห็นคราบน้ำตาเปื้อนแก้มน้อยๆ
.
.
วันหนึ่งขณะฉันกำลังจะติดนาฬิกาเบนเทนให้เด็กชายนาขวัญ เขาชูมือขวาให้เห็นสายน้ำเกลือ ฉันนั่งลงข้างๆ นำนาฬิกากระดาษให้เขาถือ พลางบอกว่า “พอคุณหมอถอดเข็มแล้วให้แม่ติดให้นะ” เด็กชายยิ้มรับแล้วเอ่ยว่า “โตขึ้นผมอยากทำงานแบบนี้จัง” ฉันกระซิบข้างหูเขา “แข็งแรงไวๆ แล้วมาช่วยป้านะครับ” จากนั้นเราก็แลกรอยยิ้มกัน
.
การโคจรมาพบกันของเด็กๆ และพวกเราจะขึ้นอยู่กับการนัดหมายของหมอ บางครั้งไม่ได้เจอเด็กน้อยที่คุ้นเคยกลับให้ความรู้สึกดีในแง่ที่ว่าเด็กๆ อาการดีขึ้น แต่ก็มีเด็กหลายคนที่คุณแม่ขอนัดหมายตรวจกับคุณหมอให้ตรงกับวันที่พวกเรามาทำกิจกรรม เพราะลูกอยากมาเจอมาเล่นด้วย แล้วไม่ใช่แค่โต๊ะศิลปะที่เด็กๆ จะได้สนุก ในกลุ่มจิตอาสายังมีไดโนเสาร์ที่เล่นอูคูเลเล่ได้ มีนักบิดลูกโป่งที่ดัดลูกโป่งเป็นนานาสัตว์ให้เด็กๆ ถือ เดือนละหนึ่งครั้งเราจะได้ขึ้นไปเยี่ยมเด็กๆ ที่เป็นคนไข้ในด้วยกิจกรรมดนตรีสัญจร มีนักดนตรีสองคนซึ่งเล่นอูคูเลเล่กับแอคคอร์เดียน พร้อมด้วยป้าๆ หางเครื่อง ความสนุกขีดสุดคือคนไข้ตัวน้อยสามารถเต้นกระโดดๆ บนเตียงและขอเพลงได้ด้วย
.
.
สี่เดือนผ่านไป เมื่อช่วงเวลากิจกรรมครบกำหนด พวกเราจะนั่งพูดคุยและถอดรหัสการเรียนรู้ในกิจกรรม มีคำพูดจากจิตอาสาคนหนึ่งว่า “เด็กๆ สอนให้เรารู้ว่าเมื่อหนีความเจ็บป่วยไม่ได้ หากมีโอกาสและจังหวะเวลาที่จะสนุกก็จงสนุกกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเถอะ”
.
เกือบ 2 ปีที่ทำจิตอาสาศิลปะกับเด็กป่วย อาการโรคซึมเศร้าแทบไม่เยี่ยมกรายมาทักทายเลย อาการปวดหัวบ่อยๆ ก็ห่างๆ ออกไป จำได้ว่าตอนสมัครหมายมั่นตั้งใจว่าจะมาให้ความสุขแก่เด็กๆ ให้เขาสนุกกับของเล่นที่เรานำมา ได้เห็นรอยยิ้ม เห็นความสุขที่เอ่อล้นของพวกเขา ทว่าความสุขของเด็กๆ ก็สะท้อนกลับ กลายเป็นพลังงานดีๆ มาถึงพวกเราซึ่งล้วนเปี่ยมด้วยความสุขเช่นกัน
.
.
ใครสักคนเคยพูดและมันเป็นเช่นนั้น
“ตั้งใจไปทำให้เขามีความสุข แต่เรากลับได้รับความสุขนั้นด้วย”
นี่เป็นของขวัญและสิ่งดีๆ ในชีวิต หลังจากป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามานับ 10 ปี เป็นของขวัญที่ไม่ต้องเป็นชิ้น ไม่เป็นกล่องใหญ่โต หากนึกถึงเมื่อใดก็อิ่มเอมใจทุกครั้ง
.
.