ภาวนาเปลี่ยนข้างใน : ความสุขไม่มีลิขสิทธิ์
“การเจริญสติเป็นแกนกลางการอบรมทุกกิจกรรมของเสมสิกขาลัย การภาวนาต้องอยู่ในทุกขุมขนของสิ่งที่เราทำ”
ปรีดา และพูลฉวี เรืองวิชาธร ยืนยันในแนวทางเดียวกัน
ทั้งคู่เป็นกระบวนกร หรือผู้นำการอบรมของเสมสิกขาลัย องค์กรพัฒนาเอกชนที่เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางเลือก ที่ใช้การภาวนาเป็นแกนหลักของทุกกิจกรรมที่ทำ
กระบวนกรทั้งคู่ย้อนความเป็นมาของแนวคิดและแนวทางที่ดำเนินมาให้ฟังว่า กระบวนการอบรมสร้างการเรียนรู้โดยทั่วไปมักมุ่งแต่ด้านเนื้อหา ใส่ข้อมูลให้เกิดความรู้ผ่านการอ่าน การบรรยาย ซึ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับหนึ่ง แต่เขาเห็นว่ายังไม่น่าพอใจเพราะนั่นเป็นการรู้แต่ในหัว ซึ่งโดยหลักการทั่วไปทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร อะไรที่ควรทำ แต่หากไม่ได้เปลี่ยนมาจากข้างในจิตสำนึกจะไม่ค่อยเปลี่ยน
อย่างเรื่องสิ่งแวดล้อมเรารู้หมดแหละว่าจะลดการทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยวิธีไหนได้บ้าง จะดูแลรักษาอย่างไร เห็นชาวบ้านทุกข์ยากก็รู้อยู่ว่าเขาควรได้รับอะไร เราสนใจประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม แต่ถึงจุดหนึ่งพอมีคนเห็นต่างก็เริ่มอึดอัดจนรู้สึกทนไม่ไหว ไปโจมตีเขา ทำให้เสมฯ ต้องมานั่งทบทวนว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างหายไปหรือเปล่า ก็พบคำตอบว่าถ้าไม่เห็นข้างในของตัวเอง ไม่ว่าจะรู้อะไรมันก็กลับไปสู่จุดเดิมได้หมด คืนกลับร่องอัตตาเดิม สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่การเอาความรู้สึกตัวหรือการมีสติมาเป็นแกนกลางของทุกกิจกรรม การภาวนาต้องอยู่ในทุกขุมขุนของสิ่งที่เราทำ ภาวนาจึงเป็นพื้นฐานของทุกคอร์สที่เราจัดอบรม
เสมสิกขาลัย ก่อตั้งเมื่อปี 2538 เริ่มเปิดอบรมทั้งเรื่องการรู้จักตัวเองและสังคมหลากหลายโครงการมาโดยตลอด ปรีดากับพูลฉวีเริ่มเข้ามาเป็นกระบวนกรให้กับเสมฯตั้งแต่ปี 2546 อาทิ “เป็นมิตรกับตัวเอง” “เผชิญความตายอย่างสงบ” “งานพลังกลุ่มและความสุข” “การสื่อสารอย่างสันติ” “การฝึกทักษะกระบวนกร”เป็นต้น ซึ่งทุกกิจกรรมใช้การภาวนาเป็นแกนหลัก
ใช้การอบรมเป็นเครื่องมือสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เข้าร่วมเกิดความเปลี่ยนแปลงภายในตัวเอง ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น ความทุกข์น้อยลง มีปฏิสัมพันธ์ในทุกระดับด้วยความเข้าใจและผสานกลมกลืนกันมากขึ้น
รวมทั้งถ้ากระบวนการเรียนรู้สร้างการเปลี่ยนแปลงข้างในได้ลึกซึ้ง ก็จะนำไปสู่สำนึกในการดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัว ลดการคุกคามหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมชาติ กระทั่งกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการเยียวยาสังคมที่เอารัดเอาเปรียบ มีความเหลื่อมล้ำ สังคมที่มีความทุกข์จากความรุนแรง
นี่เป็นภาพกว้างซึ่งเสมฯ วาดฝันไว้ เชื่อว่ากระบวนการเรียนรู้ผ่านการภาวนาเป็นเครื่องมือสำคัญชุดหนึ่ง ซึ่งถ้าทำให้ถึงจุดเปลี่ยน หรือเกิดการระเบิดจากภายในนั้นได้จะมีผลหลายทาง ตัวเขาเองมีความสุขจากภายใน มีความนิ่งจากภายใน มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง สังคม และธรรมชาติอย่างอ่อนโยน ซึ่งเป็นจุดปลายสุดที่เราต้องการ
“ทุกเนื้อหาที่เสมฯ ทำ ทุกกิจกรรมการอบรม ก่อนเริ่มจะมีการทำภาวนา” พูลฉวีเล่าให้เห็นภาพในภาคปฏิบัติ “ทั้งผ่านการทำสมาธิ หรือเล่นเกมที่ฝึกสติให้ตื่นรู้ ในแต่ละกิจกรรมมีการเน้นให้เห็นว่าสติและการเห็นตัวเองสำคัญอย่างไร”
“เรียนรู้ผ่านการทำกิจกรรมทำให้เกิดประสบการณ์ตรง” ปรีดาเสริม “ขณะทำอะไรเพลินๆ เราดึงให้เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น นำเข้าสู่บทเรียนที่ทำให้เห็นจริงว่าสิ่งต่างๆ เกิดมาจากอะไร จะทำให้มองเห็นชัดขึ้น”
ในชีวิตประจำวันปัญหาเกิดจากการปะทะกันของปัจจัยต่างๆ กิจกรรมสะท้อนความจริงเหล่านั้น แล้วคุยกันว่าสิ่งที่ดีและไม่ดีเกิดจากอะไร ก็จะได้เห็นบางอย่างชัดขึ้น เกิดการยกระดับภายในและเดินหน้าฝึกฝนต่อ
ประสบการณ์ตรงเป็นหัวใจสำคัญจุดหนึ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนคนจากภายใน เพราะถ้าไม่มีประสบการณ์ตรงจะรู้บนฐานความคิดอย่างเดียว ซึ่งเราทุกคนรู้กันหมดอยู่แล้วแต่ยังไม่เกิดผลในชีวิตจริง จุดสำคัญเราจึงต้องสืบค้นจากประสบการณ์ตรง โดยอาศัยความรู้สึกตัว ซึ่งเป็นการตื่นรู้ในระดับต้น ความสำคัญของการภาวนาในกระบวนการอบรมจึงมาคู่กันกับประสบการณ์ตรง เพราะในชีวิตจริงก็เป็นเช่นนั้น สติจะเป็นตัวเชื่อมการเรียนรู้มาสู่ประสบการณ์ตรงได้
กระบวนกรนักภาวนาจากเสมสิกขาลัย ลงรายรายละเอียดต่อเนื่องไปถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย อย่างเรื่องความสัมพันธ์ หรือการทำงานเป็นทีม ก็ต้องใช้การภาวนาหรือการเจริญสติมาเป็นแกนกลางในการทำให้เห็นตามที่เป็นจริง
“อย่างการทะเลาะเบาะแว้งกัน บางทีเราก็รู้ว่าเพราะเราฟังเขาไม่ค่อยดี ซึ่งสติจะทำให้เรารู้ว่าถ้าเรานิ่งเงียบและฟัง เราจะมองเห็นว่าเขาพูดมาจากอะไร เห็นแม้กระทั่งตัวตนของเขา ท่าทีของเราระหว่างพูดคุยก็จะเปลี่ยนไปด้วยใจที่นิ่งในระดับหนึ่ง เราจะเห็นตัวเองว่ามีจุดที่เป็นอัตตาอย่างไร คลายอัตตาอย่างไร พลังงานของอัตตาจะลดลง ความเข้าใจคนอื่นจะเพิ่มมากขึ้น”
“การสื่อสารอย่างสันติไม่ใช่แค่ทักษะหรือคำพูดอ่อนหวาน แต่ต้องออกมาด้วยเจตนาที่จะไม่รุนแรง ต้องการจะสื่อให้เข้าใจตรงกัน” พูลฉวีช่วยเสริม “ยกตัวอย่างขณะเดินๆ อยู่แล้วมีคนมาชน เราเจ็บโกรธ แต่ถ้าสื่อสารออกไปโดยไม่รู้ตัว ก็จะแสดงออกด้วยคำพูดหรือท่าทีที่รุนแรงเพราะเรากำลังเจ็บหรือโมโห แต่ถ้าสื่อสารอย่างรู้ตัวจะเป็นอีกแบบ โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวกระทบกระทั่งกันได้ง่าย การสื่อสารอย่างสันติจะทำให้เราเห็นว่า แม้เราทำไปด้วยความหวังดี แต่หากผ่านวิธีการดุด่าก็อาจไม่ได้ผล แต่ถ้ามีสติพอจะได้ลองคิดต่อว่าจะสื่อสารอย่างไรที่ไม่ใช้การด่าว่า เพื่อให้เขาเข้าใจและความสัมพันธ์ก็ดีด้วย”
ปรีดาพูดต่อในมุมกว้างออกไปอย่างความขัดแย้งระดับโครงสร้างอำนาจรัฐ
เรารู้ว่าจะช่วยชาวบ้านต่อสู้กับโครงการพัฒนาที่ไม่เป็นธรรม แต่ข้างในเราร้อนรุ่มด้วยความโกรธเกลียดต่อผู้กระทำผู้เอาเปรียบ ถ้าเราเข้าไปเรียกร้องด้วยอารมณ์แบบนี้มันยากมากที่จะเกิดสันติ การภาวนาผ่านกระบวนการแบบนี้ต้องรู้สภาวะภายในด้วย รู้ว่าแม้คนที่กระทำต่อเราก็มาจากเงื่อนไขบางอย่าง เข้าใจและยอมรับเขาตามที่เป็นจริง การเคลื่อนไหวก็จะมีคุณภาพมากขึ้น เราเคลื่อนไหวเท่าเดิม แต่ไม่นำไปสู่ความรุนแรงได้ง่ายๆ นี่เป็นคำตอบว่าทำไมเรื่องสติภาวนาจึงสำคัญกับทุกเนื้อหาที่เสมฯ ทำ ให้ภายในนิ่งพอรู้สึกตัวพอ ควบคู่ไปกับการใช้เนื้อหาต่างๆ เข้ามาเชื่อมร้อย
“เราทำงานอยู่ในขบวนการงานพัฒนาเอกชน (NGO) เห็นภาพขบวนการประชาชนที่ทำงานสังคมมีปัญหาการประสานงาน และกรำงานจนตัวเองกรอบ การเคลื่อนไหวแบบซ้ายๆ มีเรื่องตัวตนสูงมาก ยากที่จะก่อเกิดความร่วมมือเพราะมีการแบ่งแยกสูงมาก ก็คิดว่าน่าจะมีการสร้างกระบวนการเรียนรู้ในขบวน มีการสัมมนาอยู่ตลอด แต่เหมือนยังขาดการแบ่งปันในใจ พอได้มาเรียนรู้กิจกรรมของเสมฯ ก็เห็นว่าน่าจะตอบโจทย์นี้”
แนวคิดเรื่องนำการภาวนาเข้ามาอยู่ในการงานและวิถีชีวิตประจำวัน ถูกส่งผ่านกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็น ผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่เสมฯ ชักชวนเข้ามาทำกิจกรรม การฝึกทักษะกระบวนกร (Training for Trainer)
“ให้เขาไปทำต่อ เป็นคนสร้างกระบวนการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่า กระบวนกร ทำกับกลุ่มนักพัฒนาเอกชน อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ต้องการเปลี่ยนการศึกษาในระบบ เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐที่ต้องทำงานกับชาวบ้าน ซึ่งตอนนี้น่าจะหมดยุคแล้วที่จะสั่งการจากเบื้องบนหรือเลือกจุดสร้างโครงการขนาดใหญ่โดยพลการ เขาเหล่านี้คุ้นเคยกับการใช้อำนาจรัฐซึ่งพร้อมจะซัดคืน เขาต้องเย็นพอจะฟัง หากเขาไม่ภาวนาก็พร้อมจะใช้อำนาจเหมือนเดิม”
กระบวนกรของเสมสิกขาลัยทั้งคู่ช่วยกันเล่าผลัดกันเสริม
“ฝึกเป็นกระบวนกรนำกระบวนการเรียนรู้ต้องมีสติเป็นฐาน จึงต้องเรียนรู้ต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ครั้ง เจอกันเดือนละครั้งๆ ละ 3-4 วัน มีเนื้อหา ลองฝึก ประเมิน ฟังเสียงสะท้อน ฝึกซ้ำ จะทำให้เห็นตัวเองว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ระหว่างการเรียนรู้ เขาจะเห็นว่าการมีสติสำคัญอย่างไร ถ้าไม่มีสติทำกระบวนการไม่ได้ จับประเด็นไม่ได้ หลังอบรมต้องลงพื้นที่ไปทำจริง ซึ่งยากกว่าเพราะถูกท้าทายหนักกว่าในห้องเรียน”
ส่วนในสนามความรู้
“ในมหาวิทยาลัยแต่ก่อนอาจารย์เคยเป็นผู้กำหนดความรู้ ผลสอบ แต่หลังเรียนรู้การจัดกระบวนการให้การแสวงหาความรู้มาจากการมีส่วนร่วม นักศึกษาอาจท้าทายอำนาจครูได้ ซึ่งถ้าไม่ได้นำการภาวนามาใช้เขาอาจกลับไปใช้วิธีสั่งการ แต่หากได้เริ่มจากการลดอัตตา ครูก็ได้เรียนรู้จากศิษย์”
เขายังสะท้อนเสียงของคนที่เคยสัมผัสเรื่องนี้ด้วยว่า
“พระไพศาล วิสาโล ท่านบอกว่าเป็นการเปลี่ยนร่องความคุ้นเคยเดิม จะทำให้เปลี่ยนบางอย่างได้ หมอที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่าบอกว่าทักษะที่ได้จากการอบรมกลายเป็นเรื่องรอง จุดใหญ่คือเปลี่ยนชีวิตเลย เพราะในกระบวนการมันมีการกระทบอัตตากันตลอดและต่อเนื่อง หมอท่านนั้นบอกว่ามันถึงขั้นเป็นทักษะชีวิตว่าจะปฏิสัมพันธ์กับคนและธรรมชาติอย่างไร จะอยู่กับครอบครัวหรือทำงานร่วมกันให้ดีอย่างไร และเผชิญขาขึ้นขาลงของชีวิตอย่างไร”
ขณะที่กระบวนกรผู้นำการอบรมของเสมสิกขาลัยที่ทั้งคู่ก็สารภาพว่า ไม่ใช่แต่ผู้เข้ารับการอบรมที่เกิดความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งนั้นเกิดกับคนทำกระบวนการด้วย
“เปลี่ยนเยอะมาก จากคนใจร้อนก็รู้จักเย็นลง รู้จักฟังคน เมื่อก่อนเอาแต่ใจตัวเอง เพื่อนยังทักว่าเราเปลี่ยนไปเยอะมาก ตอนนี้เราใส่ใจ รับฟัง ประสานคนอื่น อะไรที่เป็นความขัดแย้งก็ลดน้อยลง รู้สึกว่าเราเติบโตจากการเรียนรู้และพัฒนาข้างในขึ้นมาเยอะมาก ทำให้ชีวิตนิ่งขึ้นและมีความสุขมากขึ้น” พูลฉวีสะท้อนตัวเอง
ขณะที่ปรีดาพูดถึงตัวเองว่า
ยิ่งทำก็ยิ่งมีผลกับตัวเอง เพราะกว่าจะทำสิ่งนี้ได้ต้องมีการเปลี่ยนผ่านในตัวเองก่อน ต้องทดลองกับตัวเองมาทั้งหมด ทำและสอนตัวเองก่อน เพราะเราก็มีจุดติดขัดในชีวิตเยอะ กระบวนการนี้เป็นการสืบค้นภายในตัวเองหลายๆ อย่าง จนรู้สึกว่าเห็นตัวเอง ที่เหลือคือการแบ่งปัน
ทุกวันนี้นอกจากให้การฝึกอบรม เขายังตั้งต้นสะสมองค์ความรู้ไปพร้อมกันด้วย นับจากเรียนรู้กับวิทยากรชั้นนำจากต่างประเทศที่เสมสิกขาลัยเชิญมาแบ่งปันความรู้ตั้งแต่ยุคที่เรื่องนี้ยังเป็นสิ่งใหม่มากในสังคมไทย บางส่วนได้มาจากการค้นคว้าและการอ่าน การลองผิดลองถูก รวมทั้งจากผู้มาเรียน ซึ่งเขาเปรียบว่า เป็นผู้โยนโจทย์โยนองค์ความรู้เข้ามา กระบวนกรต้องมี “กล่อง”ใบใหญ่มารับไว้
“องค์ความรู้มาจาการสรุปบทเรียน กลายเป็นการสั่งสม ยิ่งทำกับกลุ่มที่แตกต่างหลากหลายยิ่งได้พบ ไม่หยุดนิ่งไม่ตายตัว”
ในกาลข้างหน้าเขาหมายมั่นจะทำเรื่องนี้ให้แข็งแรงขึ้นในสังคมไทย มีองค์ความรู้เป็นของสาธารณะที่ทุกคนสามารถนำไปใช้กับทุกภาคส่วนได้ โดยไม่ผูกขาดว่าเป็นองค์ความรู้ของเขาหรือของใคร
ให้เป็นเครื่องมือหนึ่งที่นำคนเข้าถึงสติและความรู้สึกตัวได้
เพราะความสุขไม่มีลิขสิทธิ์
( ขอบคุณภาพจากเสมสิกขาลัย)