โอบกอดต้นไม้ใจเป็นหนึ่ง
ผู้คนมากมายให้นิยามตัวเองว่าเป็นคนรักต้นไม้เพราะชอบเดินดูต้นไม้ มีความสุขกับการปลูกการดูแลต้นไม้ หรือแม้แต่พูดคุยเปิดเพลงเล่นดนตรีให้ต้นไม้ฟัง แต่จะมีกี่คนที่เดินเข้าไปโอบกอดต้นไม้และได้สัมผัสกับความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หากให้บรรยายถึงความรู้สึกก็คงเป็นไปได้ยาก เช่นเดียวกับพี่ไก่ พรพีชา ธำรงวินิจฉัย บุคคลที่จะมาเล่าประสบการณ์ความเชื่อมโยงระหว่างตนเองกับต้นไม้และธรรมชาติให้เราฟัง พี่ไก่นักร้องประสานเสียงรุ่นแรกแห่งวงด้วงแมงแสดงธรรม และเป็นคุณแม่ผู้น่ารักของลูกชายทั้ง 2 คน
พี่ไก่เป็นผู้ใหญ่ใจดีของชาวโพรงกระต่ายหรือชมรมธนูโพชฌงค์ผู้มีต้นไม้ ดนตรี และหนังสือแนวปรัชญา เป็นเพื่อนคู่คิดที่ทำให้เข้าใจชีวิตและมีความสุขได้จนถึงทุกวันนี้
จากความรู้สึกว่าตนเองเป็นนางฟ้าที่กลับกลายเป็นนางร้ายของลูกชาย เหตุเพราะกำแพงของความเป็นวัยรุ่นทำให้การสื่อสารระหว่างกันน้อยลง นั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้ธรรมมะกับพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ แล้วก็ทำให้ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงด้วงแมงแสดงธรรม ซึ่งเป็นวงดนตรีที่พระอาจารย์นวลจันทร์ก่อตั้งขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เหล่าลูกศิษย์ที่เป็นผู้หญิงได้ฝึกฝนทางธรรม และกลายเป็นนักรบออกไปช่วยท่านแสดงธรรมในเวลาเดียวกัน
ตั้งแต่วันแรกได้ฝึกร้องแค่ถั่วงา ถั่วงา ถั่วงา…แบบไม่ออกเสียงตามจังหวะดนตรี แต่กลับถูกพลังคลื่นสึนามิดนตรีกระแทกเข้าไปที่ใจและกระจายไปทั่วร่าง แม้ข้ามวันไปแล้ว After Shock ยังคงมาเป็นระลอก เสียงดนตรียังคงกังวานอยู่ภายในร่างกาย อยู่ในเส้นเลือด เป็นเนื้อเป็นตัวเดียวกัน จิตใจผ่องใสลอยหลุดขึ้นมาจากกองปัญหาทุกปัญหา จนทำให้รู้สึกว่าวันทั้งวันไม่สามารถโกรธใครได้เลย…
ความรู้สึกที่มีต่อธรรมชาติ
ดนตรีก็คือเสียงจากธรรมชาติ ที่จริงแล้วดนตรีเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาหัวใจมาตั้งแต่เด็ก เวลาโกรธใครก็จะเปิดเพลงบรรเลงฟัง มันทำให้รู้สึกเหมือนตัวเราหายไป ไม่มีตัวเราก็ไม่มีใครทำหน้าที่โกรธ ความโกรธมันหายไปตอนได้ยินเสียงเพลงจากการเข้าไปร้องถั่วงาครั้งแรก มันสดทั้งเสียงร้องและอารมณ์ที่คนร้องถ่ายทอดผ่านเนื้อหาของเพลง มันสัมผัสได้มันทำให้รู้สึกดี ยิ่งพอได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของวงและได้แสดงธรรมผ่านเสียงเพลงบ่อยขึ้น ก็ค้นพบว่าพระอาจารย์นวลจันทร์รวมทั้งพี่เอก ธเนศ วรากูลนุเคราะห์ซึ่งเป็นคนแต่งเพลงให้ร้อง ได้ใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือช่วยทั้งเคาะสนิมในใจ และช่วยเติมความสุขภายในให้ค่อยๆ เบ่งบาน…
ไม่เพียงแค่ดนตรีเท่านั้น แต่ยังมีต้นไม้และธรรมชาติ ที่คอยเป็นเพื่อนประคับประครองทั้งตัวเองและคนรอบข้าง ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ด้วยหัวใจของคนเป็นแม่ที่ต้องฝึกลูกชายวัย 8 ขวบ ให้แข็งแกร่งในยามที่ลูกจะต้องพ้นอกแม่ที่นอนหนุนอยู่ทุกคืน ไปสู่โลกกว้างโดยไม่มีแม่เพื่อทำกิจกรรมของโรงเรียน แม่จึงใช้ธรรมชาติผูกหัวใจของ
ลูกไว้ไม่ให้ว้าเหว่ โดยสอนลูกว่าเมื่อไรที่คิดถึงแม่ให้มองท้องฟ้า มองต้นไม้ มองเมฆ แล้วลูกจะเจอแม่ และ
แม้มองไม่เห็นอะไรเลย ก็ให้รู้สึกเหมือนแม่อยู่ในตัวลูก ลูกชายไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ แต่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มให้แม่ได้อุ่นใจว่า ลูกชายตัวน้อยเข้าใจในสิ่งที่อยู่ในใจแม่…
ประกายแรกของการโอบกอดต้นไม้
ตั้งแต่เด็กชอบอยู่กับธรรมชาติ ชอบอ่านหนังสือปรัชญา เพราะมีเรื่องแนวคิดอิงธรรมชาติเยอะ ชอบฟังเสียงคลื่น
ชอบคุยกับท้องฟ้า ชอบคุยกับต้นไม้ แล้วก็ชอบปลูกต้นไม้ แต่ไม่เคยคิดจะกอดต้นไม้ จนได้มาเรียนรู้กับ อ.วรภัทร์ ภู่เจริญ ‘เรากับต้นไม้มีลมหายใจเดียวกัน’ ‘เรากับต้นไม้เป็นสิ่งเดียวกัน’ เป็นประโยคที่ได้ยินอาจารย์พูดลอยๆ แต่มันกลับวิ่งเข้าไปในใจจุดประกายอะไรบางอย่าง ทำให้ตัวเบาไปเสียเฉยๆ เมื่อได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศกับอาจารย์จึงได้เริ่มรู้จักการโอบกอดต้นไม้เป็นครั้งแรก เวลาเจอต้นไม้ใหญ่อาจารย์จะให้เข้าไปกอด ให้หลับตาลง ตัดคำถามมากมาย กอดทำไม กอดแล้วได้อะไร กอดนานไหม ตัดความคิดแล้วเอาใจเข้าไปกอด ไม่ต้องรีบ ใช้ความรู้สึก ใช้เวลาอยู่ตรงนั้นกับเขานานเท่าที่เราต้องการ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือเหมือนตัวเราไม่มี ตัวเรามันละลายหายไปเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้ เหมือนโลกทั้งใบมันหายไป…
การโอบกอดต้นไม้ให้อะไร
มันอธิบายยากถ้าไม่ลองเองก็ไม่รู้ หรือแม้แต่ลองแล้วแต่ละคนก็อาจจะมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน โดยส่วนตัว
การโอบกอดต้นไม้คือการละลายตัวเองไม่ยึดติด เมื่อไม่ยึดไม่แบกอะไรไว้ใจมันก็ไม่หนัก เมื่อใจมันโปร่งๆ โล่งๆ สบายๆ คำสอนของครูบาอาจารย์ที่เคยซึมเข้ามาในตัวเรา มันร้องก้องขึ้นมาเตือนสติครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ในวันที่ไม่ได้ดั่งใจผิดหวัง เกิดการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต นั่นคือการสูญเสียคุณพ่อ เราก็ผ่านมันมาได้ด้วยใจสงบ ตัวเรายังอยู่บนโลกใบเดิม แต่มุมมองของเราเปลี่ยนไป จากที่เคยมองธรรมมะเป็นเรื่องของการทำบุญและออกตามหาธรรมมะ จากการไปนุ่งขาวห่มขาว เรากลับค้นพบว่าธรรมชาติรอบตัวเราไม่ได้เป็นแค่เพื่อน แต่ยังเป็นครูที่ช่วยสอนให้ธรรมมะค่อยๆ ผลิใบผุดขึ้นกลางใจเราโดยที่เราไม่รู้ตัว…
ถ้ามีใครสักคนเดินมาบอกว่าอยากกอดต้นไม้บ้าง
ก็กอดสิ! Just do it! ไม่ต้องคิด! กอดเลย! แล้วจะรู้เอง…
เรื่องราวของพี่ไก่ พรปรีชาทำให้เห็นภาพกระบวนเรียนรู้การเข้าไปค้นพบตัวตนภายในของตัวเอง ด้วยวิธี
แสนง่ายผ่านธรรมชาติรอบตัวเรา แต่หลายคนกลับมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ในแต่ละวันเราเคยตั้งใจเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าบ้างหรือไม่ ต้นไม้ที่เราเห็นสีเขียวยืนต้นตระหง่านอยู่ทุกวัน เราเคยเห็นเขาจริงๆ หรือเปล่า หรือเรามัวแต่หลงอยู่ในความคิด คิดแล้วคิดอีก
ประโยคทิ้งท้ายของพี่ไก่ทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า แล้วทำไมเราถึงไม่เคยคิดถึงการออกไปโอบกอดต้นไม้ด้วยใจ หรือไปกอดคอกับธรรมชาติมาก่อน
ลอง Just do it! เราอาจค้นพบอะไรใหม่ๆ บางอย่าง ซึ่งถ้าไม่ลงมือทำก็คงไม่มีวันเข้าใจ…