พี่เลี้ยงทางธรรมหัวใจเกินร้อย
จะด้วยพรหมลิขิตหรือธรรมจัดสรร ที่ทำให้การถูกไล่ออกจากโรงเรียนในวัยเด็กของคุณกะปอม จิรายุ แก้วพะเนาว์ ส่งผลให้เขามีโอกาสได้ทำงานเพื่อสังคม และทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้สืบทอดสู่เยาวชนจากรุ่นสู่รุ่น
ตอนนั้นคิดว่าตัวเองโชคร้ายที่ช่วง ม.3 โดนไล่ออก…ทำให้มีข้อตกลงระหว่างผู้ปกครองกับทางผอ.โรงเรียน ว่าถ้าอยากเรียนต่อม.4 ที่เดิม ต้องไปบำเพ็ญประโยชน์บางอย่างเพื่อปรับปรุงตัว จนเป็นจุดเปลี่ยนให้เด็กชายกะปอมได้มาอยู่ที่ยุวพุทธ เตรียมบวชในโครงการสามเณรใจเพชร เพื่อเอาใบประกาศไปยื่นให้ทางโรงเรียน เป็นการการันตีว่ายอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง และจะได้เรียนต่อในโรงเรียนชื่อดังที่เดิมต่อไป
ก่อนไปยุวพุทธได้เจอครูบาอาจารย์คนแรก พระอาจารย์ธีวัฒน์ ฐานุตโร ท่านได้พร่ำสอน เมตตาเป็นพระพี่เลี้ยงให้ก่อนจะไปบวชสามเณรใจเพชร แม้จะดื้อเกเรอย่างไร ท่านก็มีแต่เมตตา จนยอมให้ท่านสอน จนได้มาอยู่ที่ยุวพุทธ 13 วัน 12 คืน ตื่นตี 3 ทำวัตรเช้า 1 ชั่วโมง นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง ทำตั้งแต่ตี 4 ถึง 3 ทุ่ม พักกินข้าวเช้าและเที่ยงแค่นั้น ในใจคิดว่าไม่ต่างอะไรกับนักโทษ ทำให้ถอดใจทุกวัน แต่โชคดีที่ถูกฝึกมาก่อน พระอาจารย์ท่านก็โทรมาให้กำลังใจ ให้สู้ ท่านบอกว่า เกิดมาเป็นลูกผู้ชายทั้งที ถ้าเกิดมาไม่เคยทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ นี่เป็นโอกาสที่จะฝึกฝนและพิสูจน์ตัวเอง จนผ่านมาได้ สุดท้ายก็ได้บวชเณรที่วัดอัมพวัน
กว่าจะรู้ตัวว่าอยากทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ก็เหลือเวลาแค่ 1 สัปดาห์ รู้สึกเสียเวลาไปกับการที่เราอยากสึก ไม่ได้อยากปฏิบัติ ที่มาเพราะกลัวจะถูกไล่ออก รู้สึกมันยังไม่พอ เลยขอแม่มาบวชอีก หลวงพ่อจรัญท่านบอกเอาไว้ว่า มาวัดอัมพวัน ต้องได้มะม่วง 3 อย่าง คือ 1.ได้เรียนรู้กฎแห่งกรรม 2.ได้รู้คุณกตัญญู 3.ได้กรรมฐาน เรามาครั้งแรกรู้สึกยังไม่ได้มะม่วงหลวงพ่อเลย ปีที่สองกลับมาอีก คราวนี้ตั้งใจมากกว่าปีแรก พยายามทำทุกๆ วันให้ดีที่สุด และรู้สึกพอใจกับการได้มาครั้งนี้ เมื่อหันไปเห็นพี่เลี้ยงที่เสียสละมาช่วยตอนบวชเป็นเณร เห็นการทำเพื่อคนอื่น เกิดคำถามว่าทำไมเขาอยากช่วยเรา อะไรที่ทำให้เขารู้สึกอยากจะมา ทำไมเขาถึงเสียสละ ต่างกับเมื่อก่อนมีแต่ความรู้สึกว่าเราทำเพื่อตนเองก็เพียงพอแล้ว จึงตัดสินใจมาเป็นพี่เลี้ยงดูสักปีในช่วงปิดเทอม เป็นครั้งแรกที่เรียนรู้การทำเพื่อคนอื่น เณรตื่นตีสามครึ่ง พี่เลี้ยงต้องตื่นตีสาม ทำทุกอย่างที่เอื้ออำนวยให้ทุกอย่างสัปปายะ
พบสิ่งมหัศจรรย์
พอมาเป็นพี่เลี้ยง ได้มาดูแลกลุ่มเด็กดื้อ เด็กซน แต่เรากลับเข้าใจเขา เพราะเขาฟังเรา ทำให้รู้สึกว่ามีกำลังใจที่อยากทำ กลายเป็นว่าเดิมตั้งใจจะอยู่ 7 วัน กลายเป็นอยู่ต่อถึงเดือนครึ่ง เพราะอยากตามไปดูแลตอนที่เด็กๆ บวชที่วัดหลวงพ่อจรัญ เข้าใจความรู้สึกของความเป็นครูก็ตอนนี้ อยากตามไปดูแล ไปให้กำลังใจ มันเหมือนเราในตอนแรก เขาพัฒนาและกล้าเปลี่ยนแปลง จากการที่เราเอาประสบการณ์เราเล่าให้เขาฟัง ทำให้ภูมิใจมากเลย ตอนนั้นให้เงินแสนก็ไม่รู้สึกอยากได้ เทียบกันไม่ได้ มันภูมิใจจริงๆ ในวันที่เด็กมากอดและผูกแขนขอพรเรา มันรู้สึกดีมากๆ
ห่างบรรยากาศ ก็ห่างธรรม
กลับไปเรียนหนังสือจนจบม.6 และมาเรียนต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พอปิดเทอม ก็ไม่ได้มายุวพุทอีกเลย เพราะชีวิตมันเสรี ไม่คิดจะกลับไปเป็นพี่เลี้ยงอีกเลย ออกจากชีวิตโรงเรียนประจำ ไปทำอะไรที่ไม่เคยทำ กลายเป็นนกเสรีมากๆ อยากทำอะไรก็ทำ ถึงขนาดหันไปเดินโพยบอล เพราะมันรายได้ดีมาก ทำยอดช่วงฟุตบอลโลกวันเดียว 5 ล้านบาท เงินสดๆ เอาไปส่งเจ๊ ได้เงินเปอร์เซ็นต์กลับมาหลายแสน พอเห็นเงินมากๆ เราก็เริ่มโกงเขา เดือนๆ หนึ่งมีเงินหมุนเวียน 3-4 แสน เที่ยวผับเที่ยวผู้หญิงทุกคืน จนเจ๊เริ่มจับตาว่าทำไมพวกนี้มันดูรวยผิดปกติ คือเด็กไม่รู้ว่าต้องแอบๆ รวยเพราะโกงเขามา จนเขารู้ก็เรียกเพื่อนไปคุย เหมือนโชคดี คืนวันนั้นหนังสุริโยทัยเข้า ขยายไปรอบตีสอง เลยไม่ได้กลับห้อง พอกลับมาห้องโดนถล่มเละเทะหมด เพื่อนฝูงหายหมด เราก็หนีออกจากกรุงเทพตอนนั้นทันที และเพื่อนชุดนั้นไม่เคยเจอกันอีกเลย หนีตายกันหมด
หนีร้อนมาพึ่งธรรม
การหนีตายกลับมามุกดาหารเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ได้กลับไปยุวพุทธอีกครั้ง ตอนนั้นติดสิ่งเสพย์ติดด้วย จนแม่สังเกตเห็นว่าผิดปกติ ทำไมไม่ขอเงินแม่มานานเป็นปีๆ ทั้งที่ยังเรียนอยู่ เมื่อแม่เริ่มเห็นผิดสังเกต จึงบอกด้วยความเป็นห่วงว่า ถ้ามีอะไรที่ไม่สบายใจหรือรู้สึกว่าอยากมีพื้นที่ปลอดภัย ให้กลับไปวัดหลวงพ่อจรัญนะ เราเลยคิดได้และหนีเข้าเขตอภัยทาน ไปอยู่กับหลวงพ่อจรัญเดือนครึ่ง ได้เจอกัลยาณมิตร เจอคนเก่งๆ เยอะมากที่มาบวช มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนเหล่านั้นตลอดเวลา คนเราไม่ว่าจะผิดพลาดอย่างไร แต่ถ้าอยู่ในที่เหมาะสม สภาพแวดล้อมทีดี มันก็หล่อหลอมเรามาในทางดีได้
บนเส้นทางแห่งการเติบโต
ออกจากวัดหลวงพ่อจรัญก็กลับตัวกลับใจมาสมัครเรียนต่อ และเข้ามาช่วยยุวพุทธเต็มตัว ประธานยุวพุทธคนปัจจุบัน คุณมณเฑียรให้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพี่เลี้ยง ต้องดูแลทุกอย่าง ต้องเรียนผิดเรียนถูกเป็นอย่างมาก เราต้องดูแลสามเณรเกือบ 200 ชีวิต หลังจากเป็นหัวหน้าพี่เลี้ยงอยู่หนึ่งปี ก็เริ่มมีบทบาทช่วยคุณมณเฑียรอีกหลายๆ โครงการ เราเองก็เหมือนม้าศึกที่คึกอยากทำ จึงเกิดเป็นโครงการต่างๆ เช่น สามเณรลูกแก้ว สามเณรลูกขวัญ สามเณรยุวเพชร สามเณรเพชร ฯลฯ เมื่อผู้ใหญ่เห็นว่าเรามีศักยภาพ มีผลงาน จึงเลือกให้เป็นเยาวชนแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศ ครั้งแรกคือ มาเลเซีย จำได้ว่าเราเหมือนเด็กบ้านนอกหลงทาง เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทำตัวลีบๆ อยู่ข้างหลัง จนมีคนมาเลเซียคนหนึ่งเดินเข้ามาหาและพูดว่า คุณสัญญากับผมได้ไหมว่าคราวหน้าจะพูดภาษาอังกฤษ แล้วในที่สุดก็พูดได้และเจรจากับทางมาเลเซีย ทำหลักสูตรโครงการแลกเปลี่ยน พาเด็กๆ ไปเข้าค่ายอีกหลายปี
ช่วงเรียนอยู่ปี 3 ถูกเลือกให้เป็นประธานโครงการ Mind and Wisdom Development Youth Camp เพื่อพัฒนาเยาวชนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้ทำงานใหญ่ๆ คิดระบบโครงการและต้องนำเสนองานระดับประเทศ ติดต่อผู้หลักผู้ใหญ่มากขึ้น ระหว่างทางเจอความท้าทายคือ คนไทยเห็นคนได้ดีไม่ค่อยได้ แม้แต่ตัวเราเอง บางครั้งได้เป็นประธานก็บ้าอำนาจไม่ฟังคนอื่นเหมือนกัน แต่เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ได้เรียนรู้การบริหารจัดการ พออายุ 21 ผู้ใหญ่เห็นว่าเราน่าจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันสมาคม เลยถูกเลือกให้เป็นกรรมการบริหารของยุวพุทธ มีโอกาสเป็นตัวแทนเข้าประชุมกรรมการบริหารยุวพุทธโลก เป็นเด็กสุดในนั้น ที่เหลืออายุ 40-60 ปี ตอนนั่งประชุมวันแรกได้แต่นั่งฟัง มีแต่ผู้ใหญ่ พูดอะไรใครก็ไม่ฟัง การเติบโตเร็วแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีคนที่ไม่หวังดี ตัวเราเองพอขึ้นที่สูงเราก็กร่างด้วย ถึงจุดหนึ่งที่เราพลาด ก็เรียบร้อย แล้วสุดท้ายก็ต้องเดินออกมา วันนี้ความเสียใจที่เดินออกมา กลายเป็นความภาคภูมิใจมากกว่า ได้ออกมาสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้สังคมอีกมากมาย และบอกตนเองได้ว่า ด้วยพลังแห่งมิตรภาพและความรัก ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้
เริ่มศึกษาและปฏิบัติธรรม
ช่วงที่ได้เป็นประธานโครงการยุวเนกขัม เป็นช่วงที่ออกมาทำหลักสูตรอบรมของตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงที่ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรม เพราะเราทำงานธรรมะ แต่ไม่เคยฝึกเพื่อตนเอง เริ่มฝึกฝนจนเจอกัลยาณมิตร จนได้พบกับพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ และจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่และสำคัญ คือการได้ร่วมงานกับอาจารย์ วรภัทร์ ภู่เจริญ ในโครงการตาใน ซึ่งเป็นการจัดบรรยายธรรมะให้นักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่บ่มเพาะวิชาทางธรรมและทางโลกให้อย่างหลากหลาย ช่วยปลดล็อคในหลายๆ เรื่องให้ชีวิตไปต่อได้จนถึงทุกวันนี้
ตื่นรู้และความสุขระหว่างทาง
ความสุขภายในมันเพิ่งเกิดขึ้นกับตัวเองไม่นานมานี้เอง ถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตทั้งหมด ทำให้เรากลับมายืนด้วยตนเอง หายใจด้วยตนเอง ไม่มีความคาดหวัง เชื่อมั่นในตนเอง เมื่อเราทำงานเจอผู้คน มีการกระทบกัน เราเรียนรู้และสามารถก้าวข้ามได้จริงๆ เกิดจากที่อาจารย์วรภัทร์สอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงจากภายในด้วยแรงบวก และ Growth Mindset ยิ่งได้ออกไปจัดการบรรยายธรรมะถ่ายทอดสิ่งดีๆ เหล่านี้ให้ผู้คน กลับเป็นเนื้อเป็นตัวกับตัวเองมากขึ้น และพร้อมจะส่งต่อสิ่งดีๆ เหล่านี้ออกไปสู่สังคมไทยต่อไป
ปัจจุบันโครงการสามเณรหน่อโพธิ์ได้สร้างต้นกล้า และนำธรรมะเข้าสู่หัวใจเยาวชน อายุ 7 ปีขึ้นไป เพื่อสร้างคุณธรรมพื้นฐานในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ web.ybatnet.org