อัศจรรย์แห่งการมีชีวิต
เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว เด็กหนุ่มที่จบด้านปฐพีวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ลงมาทำงานที่เหมืองแร่ภาคใต้เพื่อสำรวจแร่ต่างๆ วันหนึ่งขณะเขาเอาเสื้อผ้าไปซักในบ่อน้ำที่ใสสะอาด มองไปไกลลิบๆ ภูเขาซ้อนทับกันสวยงามและสงบ อยู่ๆ ก็มีเสียงเปรี้ยงดังเข้ามาในหัวว่า ‘ทำไมไม่ไปบวช’
เขาตกใจ สงสัยว่าตัวเองบ้าหรือเปล่านะ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงแบบนี้ หลังจากเดินไปเดินมาไม่นาน เขาก็เก็บเสื้อผ้าข้าวของในห้องพัก แม้ว่าท้องฟ้าเริ่มจะมืด เขาก็ตั้งใจเดินทางเข้าเมืองซึ่งห่างจากเหมือง 40-50 กิโล หัวหน้างานทักว่าเขากำลังจะไปไหน “จะกลับบ้าน” เขาตอบ “กลับอย่างไร ไม่มีรถ” หัวหน้าถาม “ไม่รู้ เดี๋ยวก็มีทาง” เขาตอบ สุดท้ายหัวหน้าจึงตัดสินใจมาส่งพร้อมกับให้เงินค่าแรงเป็นค่ารถกลับบ้าน และนี่คือจุดเปลี่ยนทั้งชีวิตของชายชื่อ บาทหลวงวิชัย โภคทวี
เบื้องหน้าเราคือชายวัย 68 ปี ผมสีดอกเลาเขาสวมเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์สบายๆ หากไม่เข้าใจในวัฒนธรรมนักบวชที่แตกต่าง ย่อมไม่อาจรู้เลยว่าเขาเป็นพระสงฆ์และนักบวชในคณะเยซุอิตของศาสนาคริสต์ ซึ่งเลือกไม่ใส่เครื่องแบบนักบวชเพื่อทำงานช่วยเหลือผู้คนได้ง่ายขึ้น พวกเขาจะใส่ชุดนักบวชต่อเมื่ออยู่ในพิธีกรรมเท่านั้น
บาทหลวงวิชัยเกิดและเติบโตในครอบครัวชาวจีนที่เป็นคริสต์แต่กำเนิด หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยขอนแก่นและทำงานได้ 2 ปีเหตุการณ์ฟ้าผ่าครั้งนั้นได้ทำให้เขาเป็นนักบวชตลอดชีวิต เขาอธิบายว่านักบวชบางคณะก็จะอยู่ในป่าภาวนา ไม่ยุ่งกับสังคม แต่คณะเยซุอิตไม่ใช่เช่นนั้น พวกเขาปรารถนารับใช้พระเจ้า ช่วยเหลือผู้คนและสนับสนุนสิทธิมนุษยชน
เราเห็นว่ากฎหมายไม่พอ ต้องมีธรรมะด้วย ไม่อย่างนั้นคนจะใช้ความรุนแรงต่อกัน ฉะนั้นความเชื่อกับความยุติธรรมแยกจากออกกันไม่ได้ ประกอบกับผมเกิดยุค 14 ตุลา ออกค่ายอาสาพัฒนาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา พอบวชจึงอยากทำเรื่องนี้
เขาจึงเป็นทั้งนักบวชที่ทำงานด้านสังคมด้วย (ท่านเป็นคณะกรรมการคาทอลิก เพื่อความยุติธรรม และสันติ (ยส.) เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ (คชพ.) ซึ่งทำงานด้านสถานภาพทางกฎหมายของคนชนเผ่า) นอกจากนี้ท่านยังก่อตั้งสถานปฏิบัติธรรมชื่อ ‘สวนสันติวนา’ ที่เรากำลังนั่งอยู่ในขณะนี้
สวนสันติวนา
สวนสันติวนาเป็นโครงการร่วมระหว่างคณะอุร์สุลินและคณะเยซูอิตที่ปรารถนาจะสร้างสถานที่ภาวนาที่เรียบง่ายและใกล้ชิดธรรมชาติ พื้นที่ 38 ไร่นี้แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ คูคลอง สระบัว และมีอาคารเพื่อทำกิจกรรมและปฏิบัติธรรม ที่พักอาศัยกระจายอยู่หลายหลัง อีกทั้งพื้นที่ทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์
ผมมาอยู่นี่ใหม่ๆ มีแค่กระต๊อบเล็กๆ ไม่มีน้ำไฟ ไม่มีต้นไม้มากนักมีแต่ทุ่งหญ้า เพราะเดิมเป็นที่นา ผมสนิทกับพ่อหลวงจอนิ (ปราชญ์ชนเผ่าปกาเกอะญอ) ก็เลยชวนแกมาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำว่าควรจะทำอย่างไรกับที่ดินดี แกก็บอกว่าทำไมพ่อไม่มาอยู่ที่นี่เลย มาฟังว่าที่ดินผืนนี้ต้องการให้พ่อทำอะไร
ปีแรกๆ ของการบุกเบิกเขาจึงลองปลูกข้าวดู แต่ปรากฏว่านกกินข้าวเสียเรียบ ทำให้ตัดสินใจปลูกต้นไม้และพืชผักแทน ทุกๆ เย็นเขาจะฟังเสียงธรรมชาติเงียบๆ และแผ่เมตตา ผ่านไปสิบกว่าปีต้นไม้ก็เติบโตสูงใหญ่ สวนสันติวนาเปิดให้บริการคนที่มาทำกิจกรรม ค่าย การอบรมทุกรูปแบบ ทั้งที่เป็นกลุ่มและเข้าเงียบส่วนบุคคล
บางคนมาที่นี่เพื่ออ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทบทวนตัวเองหรือเข้าเงียบด้วย มีครั้งหนึ่งเพื่อนผม ภรรยาตายกะทันหันเขาทำใจไม่ได้จึงขอมาอยู่ที่นี้ บางวันก็นั่งคุยกัน จนเขารู้สึกสบายใจแล้วก็กลับ
ศาสนาคริสต์สอนอะไร
บาทหลวงวิชัยบอกกับเราว่า ชาวคริสต์มีหลักการใหญ่เพียงสองข้อ คือ รักพระเจ้าอย่างสุดจิตใจและรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง
แต่พระเจ้าเป็นใครล่ะ พระเจ้าไม่มีตัวตน เป็นหลักการ เป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติ อะไรที่ดีงามสมบูรณ์คือพระเจ้า คริสต์เชื่อว่าเรามีผู้นำทางคือพระเยซูเจ้า เมื่อท่านจากไปแล้ว ท่านได้ให้จิตวิญญาณของท่านมาอยู่กับเรา ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรเราต้องไตร่ตรองดูว่าเราอยู่ในทิศทางที่เป็นของพระเจ้าหรือเปล่า เราต้องทำสิ่งนี้ทุกวัน เพราะคนเราหลงได้ง่าย ยิ่งมีอำนาจยิ่งง่าย อีกข้อที่ต้องทำคือรักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง พูดดูเหมือนง่ายนะ แต่บ่อยครั้งไม่ง่าย บางคนทำให้เราโกรธ เกลียดหรืออิจฉา ฉะนั้นเราต้องไตร่ตรองให้ดี
ท่านกล่าวต่อไปว่าหากเราทำสองข้อนี้ให้จริงจัง เราก็จะไม่ละเมิดข้อปฏิบัติอื่นๆ ที่พระเจ้าสอน เพราะหากเรารักคนอื่น เราย่อมไม่ขโมย ไม่ฆ่า ไม่ทำให้คนอื่นเจ็บปวด ในทางตรงข้าม หากเขาทำร้ายคุณ คุณจะหันแก้มอีกข้างให้เขาตบเพื่อระบายความโกรธแค้นนั้น
อย่าตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว ตอบแทนความชั่วด้วยความดี แต่เราต้องตระหนักว่า ตอนที่เราตอบแทนความชั่วด้วยความรัก ความชั่วไม่รู้ตัวหรอก พระเจ้าบอกว่าแม้ว่าคุณต้องสละชีวิตเพื่อตอบแทนความชั่ว คุณก็ต้องทำ
ชาวคริสต์จึงมีพิธีมิสซาซึ่งระลึกถึงอาหารมื้อสุดท้ายที่พระเยซูเจ้าเลี้ยงขนมปังและไวน์แดงเพื่อบอกลาเหล่าสาวก ท่านแบ่งขนมปังให้ทุกคนกินและบอกว่านี่คือกายของฉัน หยิบเหล้าองุ่นขึ้นมาและบอกว่านี่คือเลือดของฉัน สัญลักษณ์เหล่านี้เป็นไปเพื่อบอกว่าเราควรแบ่งปันกัน และบอกว่าพระวรกายของพระเยซูเจ้ากำลังไหลเวียนอยู่ในตัวเราทุกเมื่อเชื่อวัน ขอให้เราได้ใช้ชีวิตเช่นพระองค์
Just to live is blessing, Just to be is holy
ในมุมของการภาวนานั้นบาทหลวงวิชัยบอกว่าในแต่ละวันเขาจะทำวัตรเช้าเย็น โดยส่วนตัวเขาใช้มนตราเพื่อภาวนา หากใจหลงไปอยู่กับความคิดก็ดึงกลับมา
มีคำพูดที่ว่า just to live is blessing, just to be is holy แค่เรามีชีวิตทุกวันก็เป็นพระพร เพราะคริสต์เราเชื่อว่าพระเป็นเจ้าสถิตย์อยู่ ณ ส่วนลึกที่สุดในตัวเรา (Center of being) เรามีชีวิตเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าไม่มีพระองค์เราจะเป็นแค่ดิน แต่บ่อยครั้งเราไม่ตระหนักว่ามีชีวิตอยู่ การภาวนาเป็นไปเพื่อให้เราตระหนักว่ามีชีวิต ตระหนักในพระองค์ ขอบคุณที่พระองค์ทำให้เรามีชีวิตอยู่ พิจารณาว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไรให้เป็นประโยชน์
ฉะนั้นแค่การได้เห็นความงามในสิ่งเล็กๆ ทำให้เขาปีติสุขได้แล้ว ทั้งการเห็นกิ่งแห้งๆ ของต้นแสงจันทร์เริ่มผลิใบหลังเขาเอามาปักชำ ได้เห็นกลีบดอกหญ้าเล็กๆ ที่ซ้อนกันอย่างวิจิตรสวยงาม หรือการได้เห็นเด็กๆ หัวเราะร่าเริงก็เหมือนได้เห็นพระเทวทูต
เราเห็นดอกหญ้าแล้วรู้สึกว่า พระเจ้าทรงประณีตกับดอกไม้เหลือเกิน เหมือนถูกเรียกให้ดูงานฝีมือของพระองค์ รู้สึกเหมือนเห็นงานโครเชต์ที่ทำอย่างละเอียดสุดฝีมือ อันนี้ทำให้เราอิ่มเอิบใจและคิดว่าเราต้องรักกัน
พระเจ้าคือความไม่แบ่งแยก
บาทหลวงวิชัยบอกว่าการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณนั้นไม่ควรมีศาสนามาขีดคั่นเพราะตัวท่านเองก็เคยไปปฏิบัติธรรมในวิถีพุทธกับท่านพุทธทาสถึง 2 ครั้ง เคยไปทำสมาธิกับชาวอินเดียนแดง และสวนสันติวนาก็เคยจัดอบรมต่างๆ ในวิถีพุทธมากมาย
ผมมีเพื่อนต่างศาสนาที่บวชเป็นภิกษุสงฆ์ เขาปฏิบัติเคร่งและชวนผมไปภาวนาที่ภูเก็ต พอภาวนาเสร็จเราก็คุยกันว่าจริงๆ เราไม่ต่างกันเลย คุยกันได้ทุกเรื่อง เหมือนที่ท่านพุทธทาสบอกว่า ชาวพุทธที่ดีก็คือชาวคริสต์ที่ดี ชาวคริสต์ที่ดีก็คือชาวพุทธที่ดี ฉะนั้นศาสนาควรสมัครสานสามัคคีกัน ไม่ฆ่ากันในนามของพระเจ้า ศาสนาทุกที่สอนให้เรารักสันติ แต่ศาสนากลับถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชัง คริสต์เองก็เคยทำพลาดมาในเรื่องนี้และออกมาขอโทษ ฉะนั้นเวลาเวลาผมพูดเรื่องนี้ จริงๆ ผมพูดถึงจิตวิญญาณซึ่งคือธรรมชาติของมนุษย์ จิตวิญญาณนั้นมีมาก่อนศาสนา จิตวิญญาณคือการเชื่อมโยง เชื่อมโยงระหว่างเรากับตัวเอง เรากับเพื่อนมนุษย์ เรากับสรรพสิ่ง
ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ
ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะบวช นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงฟ้าผ่าเช่นนี้ เขานิยามว่าสิ่งนี้คือ ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่เขามีมาตลอดชีวิต ตัวอย่างเช่น ในพิธีมิสซาวันหนึ่ง ระหว่างที่ฟังพระคัมภีร์เขาหลับตาทำสมาธิ แล้วก็เห็นภาพพระเยซูเจ้ากำลังถูกพิพากษาอย่างชัดเจนมาก แล้วมีเสียงดังขึ้นมาว่า “ไม่มีใครจะทำลายคนคนนี้ได้ คนคนนี้เป็นคนที่คุณต้องติดตาม” พอลืมตามาเขาก็งง แล้วก็ลืมไป ฉะนั้นทันทีที่ได้ยินคำว่า “ทำไมไม่ไปบวช” ก็เข้าใจทันทีว่าเขาถูกเรียกมานานแล้ว
แม้ว่าจะมีสัญญาณมาถึงเขาอย่างชัดเจน แต่ก่อนบวชและปฏิญาณตัว เขาต้องเข้าเงียบหลายวันเลยตั้งใจร้องขอสัญญาณที่ชัดเจนจากพระเจ้าอีกครั้ง วันแรกๆ ก็ไม่เสียงอะไร จนล่วงเลยมาวันที่ 5 ขณะเดินภาวนาในดงหญ้าคนเดียว เขาก็เห็นกิ้งก่าที่วิ่งหนีเขาทุกครั้งที่เดินเฉียดใกล้แม้ว่าจะตั้งจิตบอกว่าจะไม่ทำอันตราย แม้ว่าจะพยายามเดินอย่างเบาที่สุด เจ้ากิ้งก่าก็ยังวิ่งหนีทุกครั้ง จนคิดบ่นในใจว่าทำไมไม่ไว้ใจกันเลย ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าผ่าดังเข้าหูว่า “แล้วแกทำไมไม่ไว้ใจฉัน!” เท่านี้ก็แจ้งแก่ใจในทันที
คนอาจจะถามว่าคิดไปเองไหม สำหรับผมมันชัดเจนเพราะมันมีพลัง มันเปลี่ยนวิถีชีวิตเราจากที่เคยเป็นเด็กเมาหยำเป มาเป็นคนเริ่มตั้งใจเรียน เปลี่ยนเราให้เป็นคนมีศรัทธาและอ่อนโยน
เขาเชื่อว่าทุกคนมีประสบการณ์เช่นนี้ได้ สิ่งที่ต้องมีคือใจที่มุ่งมั่นและความเชื่อ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่นอกเหนือตรรกะเหตุผล แต่เขาขอเป็นพยานว่ามันมีอยู่จริงและเป็นสิ่งที่แต่ละคนพึงประสบด้วยตนเอง
ทางคริสต์บอกว่าพระเจ้าเผยแสดงต่อเรา ท่านพุทธทาสก็เคยพูดว่าพุทธก็มีพระเจ้า พระเจ้าคือองค์ธรรมะ คือปัญญา คือนิพพาน แต่คริสต์จะบอกว่าว่าพระเจ้าเผยแสดง ท่านเป็นตัวตนที่เราสนทนาและสัมผัสได้เมื่อกลับมาที่ส่วนลึกที่สุดในตัวเรา (Center of being)
บาทหลวงวิชัยบอกว่าหากต้องการเข้าเงียบ หรือจัดกิจกรรมต่างๆ สามารถเข้ามาใช้บริการสวนสันติวนาได้โดยดูรายละเอียดหรือติดต่อได้ที่
- website : www.santiwana.org
- ที่อยู่ : สันติวนา 53/2 ซอยวัดเวฬุวนาราม 18 หมู่ 5 ถนนสรงประภา แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210
- โทร : 02-928-5696