เพราะเปิดใจฟัง รักจึงยั่งยืน
กันยาแต่งงานกับเดชมาร่วมสิบปีแล้ว แต่ ๒-๓ ปีหลังเธอมีปากเสียงกับเขาอยู่เป็นประจำ ไม่ใช่เพราะว่าเขานอกใจเธอ เขายังคงใส่ใจเธอและรับผิดชอบกับครอบครัวไม่แปรเปลี่ยน แต่สิ่งที่เธอทนเขาไม่ค่อยได้ก็คือ เขาชอบโทรศัพท์มาถามเธอแทบทุกเย็นว่าจะกลับบ้านกี่โมง ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว ฯลฯ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโทรมาถามบ่อย ๆ ราวกับว่าเธอมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ ระยะหลังเพียงแค่เห็นเบอร์โทรศัพท์ของเขาขึ้นที่หน้าจอ เธอก็หัวเสียทันที
บ่อยครั้งที่เธอตวาดใส่เขาทางโทรศัพท์ แต่เขาก็ไม่โกรธเธอ ยังคงพูดกับเธอด้วยดี สิ่งหนึ่งที่เขาขอร้องจากเธอก็คือ ขอให้มากินข้าวบ้านทุกเย็น ไม่ว่าเธอจะกลับบ้านดึกดื่นแค่ไหน เขาก็จะทำกับข้าวรอ นั่นทำให้เธออึดอัดใจเพราะบางครั้งเธออยากไปกินอาหารเย็นกับเพื่อน ๆ แต่ก็ต้องงดเพื่อกลับมากินข้าวที่บ้าน
วันหนึ่งเธอเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง เพื่อนแนะนำว่า ทำไมเธอไม่ลองฟังเขาบ้างล่ะว่า ทำไมเขาถึงขยันโทรศัพท์มาถามเธออย่างนั้น ระหว่างที่เขาอธิบาย ก็ขอให้เธอฟังเขาอย่างตั้งใจ อย่าเพิ่งหงุดหงิดฉุนเฉียว ฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง โดยไม่ด่วนสรุป หรือคิดแต่จะแย้งอย่างเดียว ฟังด้วยหัวใจ รับรู้ทั้งความรู้สึกและความต้องการของเขา บางทีเธออาจจะเข้าใจเขาดีขึ้นก็ได้ว่าทำไมเขาทำเช่นนั้น
เธอฟังแล้วก็สะดุดใจขึ้นมาทันที เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยถามเขาเลยว่า ทำไมเขาถึงชอบโทรศัพท์มาถามเวลากลับของเธอ แทบทุกครั้งเธอได้แต่โวยวายใส่เขาหรือไม่ก็พูดกับเขาด้วยความหงุดหงิด ความที่เขาเป็นคนไม่ช่างพูด เขาก็เลยไม่เคยอธิบายเหตุผลของเขาเลย คำแนะนำของเพื่อนทำให้เธอได้คิดขึ้นมา
วันต่อมาขณะที่เธอกำลังทำงานอยู่ เขาก็โทรศัพท์มาหาเธอด้วยคำถามเดิม ทันทีที่ฟังจบเธอมีอารมณ์ขึ้นทันที แต่ก็มีสติรู้ทันจึงยั้งคำพูดไว้ได้ แทนที่จะแหววใส่เขาเหมือนเดิม เธอพูดกับเขาเรียบ ๆ ว่าจะกลับบ้านราว ๆ ๒ ทุ่ม
เมื่อเธอกลับถึงบ้าน แทนที่จะบึ้งตึงใส่เขาเหมือนเคย เธอชวนเขามานั่งคุยด้วย เขามีสีหน้างงเล็กน้อย คงไม่รู้ว่าเธอจะมาไม้ไหน แล้วเธอก็ถามถึงเหตุผลที่เขาชอบโทรศัพท์ถามเวลากลับบ้านของเธอ ระหว่างที่เดชพูด เธอเตือนตัวเองให้ตั้งใจฟัง โดยไม่ต้องคิดหาเหตุผลโต้แย้งก่อน
เดชอธิบายว่าที่โทรศัพท์ไปถามเธอทุกเย็นก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ เพราะทางเข้าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ทุกวันนี้เขาต้องตื่นแต่เช้าไปทำสวน ขณะที่เธอออกไปทำงานข้างนอก วัน ๆ เขากับเธอแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย แค่ได้เห็นหน้านิดหน่อยตอนเช้าเท่านั้น ดังนั้นหลังเลิกงานแล้วเขาจึงอยากกินข้าวเย็นกับเธอ จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง
กันยาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเดชเป็นห่วงเธอและอยากมีเวลาอยู่ด้วยกันกับเธอ ลึก ๆ เขาคงกลัวว่าเธอจะห่างเหินจากเขาหากไม่มีกิจกรรมร่วมกัน เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่กันยาตระหนักว่าเดชรักเธอมากเพียงใด หากเธอไม่ตั้งใจฟังเขาอย่างค่ำวันนี้ เธอก็คงยากจะเข้าใจเจตนาดีของเขาได้ นึกดูก็อดเสียวใจไม่ได้ว่า ชีวิตคู่ของเธออเกือบจะร้าวฉานเพียงเพราะด่วนสรุปและไม่เปิดใจรับฟังสามีเท่านั้นเอง
หลังจากรับรู้ถึงเหตุผลของเขาแล้ว เธอจึงอธิบายให้เขาฟังว่าบางครั้งเธอมีความจำเป็นต้องสะสางงานจนค่ำ ดังนั้นเธอจึงตกลงกับเขาว่า วันไหนที่เธอกลับบ้านผิดเวลา เธอจะโทรมาบอกเขาล่วงหน้า เขาจะได้ไม่เป็นห่วง เขาเองก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่เธอเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของเขา
ความรักนั้นเชื่อมใจผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ก็ต้องมีความเข้าใจกันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ความรักจึงจะยั่งยืน แต่เราจะเข้าใจกันได้อย่างไรหากไม่เปิดใจฟังกัน มิใช่แต่ความรักระหว่างสามีกับภรรยาเท่านั้น แม้กระทั่งความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก เพื่อนกับเพื่อน จะยั่งยืนได้ก็ต้องมีการเปิดใจฟังกันอย่างสม่ำเสมอ
ทุกวันนี้พ่อแม่จำนวนมากมักบ่นว่าลูกไม่ฟังพ่อแม่ มิหนำซ้ำมีลูกปัญหาอะไรก็ไม่เคยเล่าให้พ่อแม่ฟังจนบางครั้งเหตุการณ์เลวร้ายจนยากจะแก้ไข นั่นอาจเป็นเพราะพ่อแม่ไม่เปิดใจฟังลูกแต่แรก ปัญหาจึงไม่ได้แก้ที่ลูก แต่ต้องแก้ที่พ่อแม่ก่อน หากพ่อแม่เปิดใจฟังลูก ลูกก็พร้อมจะเปิดใจฟังพ่อแม่ รวมทั้งเล่าความในใจให้พ่อแม่ฟังด้วย เพราะเกิดความเข้าใจและซาบซึ้งใจในความรักของพ่อแม่
มีบางคนกล่าวว่า ความรักนั้น สะกดด้วยอักษรและสละรวม ๔ ตัวคือ เ-ว-ล-า มิใช่แต่เวลาที่จะอยู่ด้วยกันเท่านั้น แต่รวมถึงเวลาที่จะเปิดใจฟังกันด้วย จึงจะทำให้ความรักเบ่งบานอย่างแท้จริง
ภาวัน
IMAGE ๒๕๕๔ กุมภาพันธ์
ภาพ pixabay