เปลี่ยน (กิน) ก่อนป่วย
‘การกินผักผลไม้’ ก็คงเหมือนกับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเรา พวกเราเกือบทุกคนได้รับการบอกกล่าว พร่ำสอน เชิญชวนมาตั้งแต่เด็ก ว่าการกินผักผลไม้เป็นเรื่องดี มีประโยชน์กับชีวิตของคนเรา เหมือนๆ กับการออกกำลังกาย การหายใจในอากาศบริสุทธิ์ การทำใจให้สงบ การมองโลกในแง่บวก ฯลฯ และอีกหลายสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตของคนเรา
และสิ่งที่เราเลือกทำกับบรรดาสิ่งที่มีประโยชน์เหล่านี้แทบจะเหมือนกัน คือการให้ความสำคัญมันในลำดับเกือบสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะคนเมืองที่หายใจเข้าออกเป็นการทำงานและหาเงินตัวเป็นเกลียว
ถ้าให้ทบทวนดูว่าใน 1 วันเราได้กินผักผลไม้สักเท่าไร น่าตกใจที่หลายคนตัวเลขออกมาแทบเป็นศูนย์
พี่ตุ๊ก – จันทร์จิดา งามอุไรรัตน์ เป็น 1 ในสาวเมืองกรุง ที่ชีวิตก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นเดียวกับคนทำงานคนอื่นๆ การทำงานในบริษัทโฆษณาที่รีบเร่ง กระตุ้นให้ใช้ชีวิตแบบแข่งกับเวลา การทานอาหารให้ครบทุกมื้อยังเป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้นการกินผักให้ครบสัดส่วนเพื่อสุขภาวะที่ดีจึงแทบเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม สุดท้ายพี่ตุ๊กก็ป่วยด้วยอาการท้องผูกชนิดรุนแรง ทำอย่างไรก็ไม่หาย จึงตัดสินใจเริ่มปรับอาหาร กินผักมากขึ้นร่วมกับการออกกำลังกาย ร่างกายค่อยๆ ดีขึ้น อาการท้องผูกหายไป จากที่เคยปวดหัวไมเกรนทุกเดือน ก็ไม่ปวดเลย การไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดสำหรับเธอ เป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าความสุขอื่นๆ ในชีวิต
จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง ทำให้พี่ตุ๊กหันเหตัวเองมาทำงานสื่อสารให้คนหันมาเปลี่ยนชีวิตตัวเองด้วยการกินผักผลไม้ให้มากขึ้น ปัจจุบันพี่ตุ๊กเป็นหัวหน้า ‘โครงการกินผักผลไม้ดี 400 กรัม’ สนับสนุนโดย สสส. เป้าหมายของโครงการเรียบง่ายตรงตัว คือชวนคนเมืองให้หันมากินผักผลไม้ให้มากขึ้น ถ้าคิดไม่ออกว่าต้องกินแค่ไหนถึงจะพอ ให้ใช้ปริมาณ 400 กรัมเป็นเป้าหมายง่ายๆ ในแต่ละวัน
“400 กรัม มาจากตัวเลขที่องค์การอนามัยโลกเขาเคยวิจัยออกมาแล้วว่า คนเราถ้ากินผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม จะสามารถลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคที่ไม่ติดต่อ เช่น มะเร็ง เบาหวาน หัวใจหลอดเลือด ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี เลยคิดว่าตัวเลขนี้เป็นปริมาณที่เหมาะสม และน่าจะเป็นเรื่องไม่ยากที่จะชวนคนให้รู้สึกเป็นมิตรกับการกินผักผลไม้เพิ่มมากขึ้น” พี่ตุ๊กเล่าถึงที่มาของชื่อและแนวคิดโครงการฯ
ตัวเลข 400 กรัม หากใครนำมาเป็นเป้าหมายในการกินอาหารในแต่ละวัน สิ่งที่เปลี่ยนไปลำดับแรกๆ ที่จะเห็นชัดเจนคือสุขภาพกายที่ดีขึ้น และสิ่งที่พ่วงตามมาแบบไม่น่าเชื่อคือ การกินผักผลไม้ 400 กรัมยังเป็นการฝึกสติเหมือนการภาวนาได้ด้วย !
“มันเกิดจากการที่เราตระหนักรู้ แค่รู้ว่ามื้อนี้จะกินอะไรนี่ก็คือการภาวนาแล้ว มันเป็นการฝึกภาวนาในชีวิตประจำวันได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าเราเคี้ยวอาหารอย่างตั้งใจ มีสติละเอียดกับแต่ละคำที่เคี้ยว เราจะรู้สึกเลยว่าผักผลไม้ มันมีพลังชีวิต กินแล้วสดชื่น การมีสติรับรู้รสชาติอาหารขณะเคี้ยวนี่แหละคือการภาวนา แล้วมันจะส่งผลทำให้กระเพาะเราทำงานน้อยลง ระบบย่อยก็ดีขึ้น สารอาหารก็ถูกดูดซึมดีขึ้น สุขภาพกายก็ดีขึ้น สุขภาพใจเราก็ดีขึ้นตามไปด้วย” พี่ตุ๊กกล่าว
ความละเอียดในชีวิต ตระหนักรู้ว่าเรากำลังจะกินอะไร ยังส่งผลเปลี่ยนแปลงต่อไป ให้หลายคนเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนวิถีชีวิต จากกินอาหารนอกบ้าน ก็เริ่มหัดทำอาหารเอง หันมาปลูกผักด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ คลี่คลายชีวิตที่สับสนยุ่งเหยิงของคนเมืองให้ค่อยๆ ช้าลง จนเข้าสู่วิถีชีวิตที่ละเมียดละไมหรือที่คนรุ่นใหม่ชอบใช้คำว่า ‘สโลว์ไลฟ์’ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“โครงการเคยไปทำกิจกรรมปลูกผักปลูกสติร่วมกับหมู่บ้านพลัม เราอยากรู้ว่าคนที่เขากินผัก เขามีอะไรในใจที่ทำให้เขากินผักได้ แล้วเราก็พบว่าส่วนหนึ่งคือ มันมีความเป็นชุมชนที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้คนเรากินได้ นอกจากนี้ การได้ลงมือปลูกผักเอง ทำให้เขาเข้าใจมากขึ้นถึงที่มาของอาหาร เขาก็จะกินแต่ละอย่างด้วยความตระหนักมากขึ้น เราจะเห็นเลยว่าทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันไปหมด” พี่ตุ๊กชี้ให้เห็นภาพการเชื่อมโยงระหว่างการกินและแนวคิดการดำเนินวิถีชีวิตที่ไม่อาจแยกขาดจากกัน
โครงการกินผักผลไม้ดี 400 กรัม ยังเป็นตัวอย่างรูปธรรมของการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไป ด้วยแนวคิดของโครงการไม่ได้มุ่งเน้นให้คนหันมากินผักแบบจัดหนักเหมือนมังสวิรัติหรือเจแต่อย่างใด ทุกคนยังสามารถดำเนินชีวิตกินอาหารได้ตามปกติ เพียงแต่เพิ่มเติมผักผลไม้เข้าไปในแต่ละมื้อ ใครที่ยังกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือยังติดใจข้าวเหนียวหมูปิ้งก็ไม่ว่ากัน ขอแค่ใส่ผักลงไปเพิ่มเติม นั่นถือเป็นความสำเร็จในขั้นต้นแล้ว
ถัดจากนั้น เมื่อเราเริ่มมีเพื่อนเป็นผักผลไม้ในทุกมื้ออย่างสนิทใจแล้ว จึงค่อยขยับขั้นต่อไปด้วยการลองฝึกทำเมนูง่ายๆ ซึ่งทางโครงการก็เตรียมสูตรลับเมนูเด็ดไว้ให้ซ้อมมือมากมาย และเมื่อถึงขั้นสุดท้าย ชีวิตเราก็จะเริ่มละเอียดกับการคัดสรรวัตถุดิบ เราจะเริ่มเรียนรู้การปลูกผักง่ายๆ บางชนิดด้วยตนเอง ซึ่งจะนำสู่วิถีการกินอยู่แบบปลอดภัยในที่สุด
“มันยากที่สุดตอนเริ่มทำถ้าทำได้แล้ว สิ่งที่เห็นชัดก่อนเลยคือสุขภาพดีขึ้นสิ่งต่อมาที่สัมผัสได้คือความสุขเมื่อเราตั้งเป้าหมายโดยรู้ว่าสิ่งนี้ดี แล้วเราทำมันได้ เราก็จะมีความสุข มีความภูมิใจในตัวเองว่าเราทำได้ รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า และพี่เชื่อว่าความรู้สึกแบบนี้ มันจะกลายเป็นพลังบวกที่จะดึงดูดสิ่งที่มันบวกๆ ให้กับชีวิตเรา” พี่ตุ๊กสรุป
ใครสนใจอยากเริ่ม ‘เปลี่ยน’ สามารถเข้าไปดูข้อมูล ชั่ง ตวง วัด ปริมาณผักแต่ละชนิด พร้อมสูตรปรุงผักง่ายๆ สไตล์คนเมืองใน เฟซบุ๊ก ‘โครงการกินผักผลไม้ดี 400 กรัม’ หรือเข้าไปดูข้อมูลที่เว็บไซต์ www.vegandfruit 400.org
ชีวิตที่มีสุขภาวะที่ดีมีมีรออยู่แล้ว วันนี้อาจถึงเวลาที่เราจะ ‘เปลี่ยนก่อนป่วย’ เพราะถ้ารอป่วยแล้วค่อยเปลี่ยน เบาๆ คงไม่เท่าไร แต่ถ้าป่วยหนักขึ้นมา ไม่แน่อาจไม่ทันการณ์ !
ขอบคุณภาพจาก โครงการกินผักผลไม้ดี 400 กรัม