ขอบคุณมะเร็ง ที่สอนให้ฉันมองเห็นความสุข
คุณแอ้ นริสสา อมรวิวัฒน์ ภรรยาของคุณณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ (อดีตพิธีกรรายการ “เจาะใจ”)
เผชิญกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมาแล้วถึงสองคราแต่เธอบอกว่า
“ทุกวันนี้ก่อนนอนจะขอบคุณในใจทุกวัน ตอนนี้เรารู้สึกมีความสุขมากกว่าก่อนป่วยอีกนะ
เชื่อว่าหลายๆ คนที่ผ่านโรคร้ายมาคงจะเป็นเหมือนกัน เริ่มจัดความสำคัญของสิ่งต่างๆ
ในชีวิตใหม่ได้ว่าอะไรที่สำคัญกับชีวิตจริงๆ”
ไม่น่าเชื่อว่าคำขอบคุณนี้จะมาจากผู้ที่ผ่านการทำเคมีบำบัดอย่างแรงรวมทั้งการปลูกถ่ายไขกระดูก
ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานหลายอย่าง ที่แย่สุดคือไม่มีแรง นั่งสระผมก็ยังล้มไปเฉยๆ ผมร่วง
ทานอาหารไม่ได้ อาเจียน ท้องเสีย เจ็บคออย่างรุนแรง ลิ้นไม่รับรสอาหาร
และต้องให้สารอาหารโดยตรงผ่านทางเลือดและอาศัยในห้องปลอดเชื้อเป็นเดือน
ความทุกข์ที่แสนดีนี้มาสอน ให้เธอตั้งคำถามเรื่องความสุขและการใช้ชีวิตเสียใหม่
ความเจ็บป่วยทำให้เห็นคุณค่าของเวลาและการทำประโยชน์แก่ผู้อื่น
แม้กายจะเจ็บป่วยแต่ใจไม่ทุกข์ ระหว่างการปลูกถ่ายไขกระดูกซึ่งต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อหลายอาทิตย์
คุณแอ้และสามีใช้เวลาทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นและสร้างสุขทางใจ ด้วยการอ่านหนังสือให้คนตาบอด
แอปพลิเคชัน “Read for the Blind” และช่วยกันสร้างเฟซบุ๊กเพจชื่อ “ช่วยอ่านหน่อยนะ”
เพื่อส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับคนตาบอดเท่าที่เธอจะทำได้
เธอเล่าว่า “ระหว่างอยู่ในห้องปลอดเชื้อ เราก็มาช่วยกันใช้แอปอ่านคลิปเสียงจากหนังสือธรรมะให้คนตาบอด
และก็ช่วยสร้างเพจ “ช่วยอ่านหน่อยนะ” ทดสอบระบบ ถ่ายรูปตัวอย่างของคนตาบอดที่อยากจะให้อ่านให้ฟัง
เราเคยได้ยินว่ามีคนป่วยคนหนึ่งเขาป่วยมากและใช้เวลา 29 วัน ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่น
ปรากฏว่าผ่านไป 29 วันอาการดีขึ้น เราเลยคิดว่าการให้น่าจะทำให้มีความสุข ซึ่งมันก็มีความสุขจริงๆ”
#การคิดถึงทุกข์ของคนอื่นทำให้ทุกข์ของเราน้อยลง
แอปพลิเคชัน “Read for the Blind” นี้คุณณัฐวุฒิ พัฒนาขึ้นเพื่อให้อาสาสมัครจากทุกที่ทั่วโลก
สามารถช่วยอ่านหนังสือให้คนตาบอด เป็นการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนมีโอกาสช่วยคนอื่นวันละนิด
แต่ช่วยได้ทุกวันทุกเวลา เขาเรียกมันว่า “ไมโครบุญ”
เขาเล่าว่า “จุดเริ่มต้นของแอปฯ Read for the Blind คือเราไปที่ร้านร้านหนึ่ง
ที่มีบริการอ่านอักษรเสียงแต่ห้องเต็ม ประกอบกับแอ้ (ภรรยา) เพิ่งหายจากมะเร็งรอบแรก
ก็มีความคิดอยากทำบุญ ทำให้เราจุดประกายว่าน่าจะเอาเทคโนโลยีไอทีเข้ามาช่วย
เป็นโมบายแอปฯ ที่สามารถอ่านอัดเสียง ง่ายๆ เสร็จก็อัปโหลด เราก็เลยลองทำ
ประสานงานกับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ตรงสามเหลี่ยมดินแดง
โดยคนตาบอดสามารถฟังได้ผ่าน Call Center 1414 โดยได้ซัมซุงและกูเกิลเข้ามาร่วมกันพัฒนาโครงการ
ถึงตอนนี้เรามีสมาชิกเป็นแสนเข้ามาช่วยกันอ่าน โปรเจกต์นี้เป็นอะไรที่ภูมิใจมาก”
และต่อมาได้เปิด FB Page ในชื่อ “ช่วยอ่านหน่อยนะ” ที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน
โดยการระดมอาสามาเป็นสมาชิกเพจทำหน้าที่แทนตาให้คนตาบอด
ด้วยการพิมพ์อธิบายสิ่งที่คนตาบอดถ่ายรูปส่งเข้ามาในเพจ เช่น ช่วยอ่านฉลากยา หรือเอกสารต่างๆ
นอกจากทำความดีเพื่อผู้อื่นแล้ว คุณแอ้ยังอาศัยธรรมะเข้าช่วยในการมองโลก
ปล่อยวางยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วด้วยปัญญา และอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข
ไม่ฟุ้งซ่านวิตกกังวลหวาดกลัวอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
เธอบอกว่า “อย่าไปคิดว่ามันเป็นประสบการณ์เลวร้าย อย่าไปคิดว่าทำไมต้องเกิดขึ้นกับเรา
เรามองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คงเพราะเราเคยทำกรรมไว้ คือเราเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมอยู่แล้ว
ยังไงเราก็ต้องรับ แต่เรามาคิดว่าจะรับยังไงให้มีความสุขดีกว่า ถ้าเราไม่เคยปฏิบัติธรรมมาก่อน
คงไม่มีทางคิดแบบนี้ได้ คือร่างกายเราต้องเสื่อม ต้องเจ็บอยู่แล้ว เพราะมันเป็นธรรมดาของชีวิต
เพียงแต่เราแยกกายกับใจออกจากกัน กายจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ กายอยู่ส่วนกาย ใจอยู่ส่วนใจ”
“เวลาเราอาเจียนแล้วเงยหน้าขึ้นมาเห็นพยาบาลคอยให้กำลังใจเราอยู่ เราก็คิดว่าเรายังโชคดี
ที่มีพยาบาลดีๆ มาดูแล คิดแค่นี้เราก็ยิ้มให้ใจเราเองได้ คิดว่าฉันมีเวลาว่างเยอะมาก
ฉันไม่เคยมีโอกาสดูซีรีส์เกาหลีติดต่อกันอย่างมีความสุขเลย ถ้าฉันไม่ได้อยู่ในห้องปลอดเชื้อ
อาจจะโดนคนอื่นด่าแน่เลยว่าขี้เกียจไม่ทำงาน ไม่คิดว่าพรุ่งนี้จะเจ็บกว่านี้ไหม คือเรามาสนใจแต่เรื่องที่ทำแล้วมีความสุข”
เจ็บป่วยจึงพบสุขที่แท้
เมื่อเวลาที่ชีวิตปกติหรือมีความสุขดี หลายคนจะประมาทและหลงไปกับความสุข
จนทำให้ลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตไม่ได้ โชคดีที่ความทุกข์หนัก ๆ
ก็เข้ามาเป็นครูสอนให้เราจัดการชีวิตเสียใหม่
“สมัยก่อนป่วยเราไม่เคยมานั่งลิสต์เลยว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขในแต่ละวัน
เราคิดแค่ว่าทำยังไงถึงจะเรียนเก่ง ทำยังไงถึงจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ทำยังไงถึงจะได้เงินเยอะๆ เหมือนชีวิตที่ผ่านมาถูกผลักดันด้วยการยอมรับของสังคมเท่านั้น
ไม่เคยมีอะไรที่เราต่อสู้เพื่อความสุขของตัวเอง ต้องขอบคุณโรคนี้ที่ทำให้เราได้มองเห็นว่าอะไรสำคัญในชีวิต
ความสำเร็จของชีวิต งาน หรือเงิน คงไม่มีความหมายอะไรถ้าปราศจากคนที่เรารักและรักเรา
ทั้งครอบครัวและเพื่อน ทุกวันเมื่อตื่นขึ้นมาให้นั่งคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนรอบข้างมีความสุขที่สุด”
ธรรมะส่งท้าย
ความทุกข์สอนอะไร ๆ ให้เราได้ดีกว่าความสุข คือสอนตรงกว่า – มากกว่า – รุนแรงกว่า;
ความสุขมีแต่ทำให้ลืมตัว เหลิงเจิ้งไม่ทันรู้ และไม่ค่อยสอนอะไร. ขอขอบใจความทุกข์
ซึ่งเป็นเสมือน “เพชร” ในหัวคางคก – พุทธทาสภิกขุ
ที่มา http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9580000057534
รูป : www.megazy.com