Q: หนูจะหงุดหงิด เวลาส่งไลน์แล้วไม่มีใครตอบ รู้สึกเหมือนไม่มีใครสนใจ เป็นเพราะอะไรคะ และจะมีวิธีแก้อย่างไร
Q: หนูจะหงุดหงิด อารมณ์เสียตลอดเลย เวลาส่งไลน์แล้วไม่มีใครตอบ รู้สึกเหมือนไม่มีใครสนใจ เป็นเพราะอะไรคะ และจะมีวิธีแก้อย่างไร
A: ถึงสาวน้อยชาว social 🙂
สำหรับความรู้สึกที่น้องกำลังเป็นอยู่นี้ พี่ก็เคยเป็นมาก่อน แต่เป็นทั้งคนที่อารมณ์เสีย น้อยใจเสียใจคิดมากที่ส่งไปแล้วเค้าไม่ตอบหรือไม่อ่าน และก็เคยเป็นคนที่ไม่ได้อ่านข้อความที่คนส่งมาหาหรืออ่านแล้วก็ไม่ตอบกลับไป เพราะบางช่วงเวลาที่ได้อ่านข้อความ มันไม่สะดวกที่จะตอบกลับกำลังขับรถอยู่ กำลังมีธุระติดพันอยู่แล้ว พอตัวพี่เองทำธุระเสร็จก็ลืมไปแล้วว่า “ควรจะ” ต้องตอบกลับไป หรือว่าบางทีก็คิด “เอาเอง” ว่าอีกฝั่งแค่ส่งข้อความมาให้เรารับรู้พอเรารับรู้จากการอ่านเสร็จก็จบไม่ได้คิดเลยว่าอีกฝ่ายรอการตอบกลับ หรือส่งสัญญาณสัญลักษณ์ส่งยิ้ม ส่งsticker จากเราอยู่
สิ่งที่น้องเป็นไม่ว่าจะหงุดหงิด อารมณ์เสียจากคิดเล็กๆแล้วก็ใช้เวลากับการคิดโน่นคิดนี่ จินตนาการไปเรื่อยๆว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่ทำไมไม่ตอบฉัน อยู่กับใคร ไม่สนใจฉันเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม ก้อนความคิดของน้องจากก้อนเล็กๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น เวลาที่ใช้ไปกับความคิดว่าทำไมไม่สนใจฉันจากนาที เป็นชั่วโมง เป็นวัน…….
เหนื่อยไหมคะก็การต้องอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ เห็นเวลาที่น้องต้องเสียไปกับความคิดแบบนี้ไหมค่ะว่ามันนานเท่าไหร่แล้วเห็นไหมคะว่าที่พี่เขียนมานี้มีคำว่า“ฉัน“อยู่ในประโยคนี้เท่าไหร่
ถ้าน้องถามว่า “เป็นเพราะอะไรคะ” พี่ก็จะตอบว่า “เป็นเพราะว่ามีฉันอยู่นี่ไง” ฉัน…เป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ทุกๆอย่างทุกๆคนรอบตัว “ฉัน” จะต้องได้ดั่งใจที่อยากจะเห็นมันเป็นให้มันทำตาม “ใจฉัน” จริงๆพี่ว่านะเรื่องของ “ฉัน” นี่เป็นปัญหาที่ว่าแก้ยาก..ก็ยากอยู่ แก้ได้ไหม..ก็ได้อยู่ พี่ว่านะคะเรามาแก้ปัญหา “ฉัน” ในแบบวัยสะรุ่นชาว social กันดีกว่า วิธีที่พี่จะบอกนี้ มันก็เอามาจากประสบการณ์ของพี่เองอาจผิดบ้างถูกบ้าง แต่สำหรับพี่มันก็ทำให้มีชีวิตอยู่ในยุค 3G ที่เบาๆสบายๆสวยๆไม่หนักหัวกับหนักใจเริ่มนะเจ้า 🙂
อย่างแรก น้องก็ต้องลองสวมร่างจินตนาการเป็นตัวน้องเองนี่แหล่ะที่กำลังยุ่งๆ หรือกำลังขับรถ หรือกำลังถือของที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่ให้มันตกลงมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง แล้วจังหวะนั้นก็มี Line ส่งมา อยากจะอ่านหรือตอบก็ทำไม่ได้ น้องจะรู้สึกยังไง ที่พี่เขียนมาแอบยืดยาวนี้ใจความสำคัญมันอยู่ที่ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา มันเป็นเรื่องพื้นฐานง่ายๆที่ทั้งพี่และน้องก็เคยเรียนมา แต่เอาเข้าจริงถึงเวลาจริงงเอามาใช้ไม่เป็นไม่ทันกับเวลา ก็บอกแล้วว่าพี่ก็เคยเป็นมาก่อน แต่เรื่องแบบนี้ขอให้ “ลอง” เชื่อพี่ดูนะว่าถ้าทำบ่อยๆเดี๋ยวเราจะเริ่มชินเริ่มคุ้นแล้วเดี๋ยวมันก็คล่อง (อารมณ์เหมือนตอนที่ Apple ออกมือถือที่เป็นระบบหน้าจอสัมผัสที่เรียกว่า iPhone แรกๆเราก็งงๆใช้ผิดใช้ถูกแต่เดี๋ยวนี้เป็นไงล่ะจ๊ะพอรุ่นใหม่ออกมาแล้วไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าเดิม แอบงอน Apple เชียวนะ )
ถ้าถึงบรรทัดนี้ น้องบอกว่ายังคะพี่ ยังไม่ได้ผล พี่ว่าเราต้องใช้ยาแรงขึ้น นั่นก็คือคิดซะว่า “ความรู้สึกและเวลาในชีวิตของเรา มีคุณค่ามากพอที่จะไม่ควรถูกใช้ไปอย่างเปล่าประโยชน์กับเรื่องและคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเรา” คิดเสร็จแล้วก็สะบัดบ๊อบเบาๆ 🙂 วิธีนี้จริงๆพี่แนะนำแบบขำๆนะคะ อย่าไปจริงจัง เพราะถ้าใช้วิธีนี้แก้ปัญหาการหงุดหงิดของเรา มันก็เหมือนกับเวลาที่เราเป็นไข้ แล้วเราไปฉีดยาแก้ปวด ถามว่าหายปวดหัวไหม ก็หายนะ แต่เชื้อโรคเชื้อไวรัสมันก็ยังคงอยู่ในตัวเรานี่แหล่ะ แค่โดนต่อยให้สลบรอเวลาพักฟื้นก็จะกลับมาแผลงฤทธิ์ใหม่ ถ้าน้องอยากหายจากโรคความโกรธความโมโห ความหงุดหงิดใจ น้องต้องเอาไวรัสออกจากร่างกายก่อนเป็นอย่างแรก เอา “ฉัน” ที่คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลออกไป ให้ตัวเองเป็นคนที่ยืนอยู่บนโลกที่กำลังหมุนอยู่ ไม่ใช่เป็นคนที่โลกต้องหมุนรอบตัวเราถ้าทำได้นะ พี่ว่าคุณน้องน่าจะมีชีวิตที่สวยๆเกร๋ๆอยู่บนโลก 3G ได้อย่างสบายแน่นอนลองดูนะคะ 🙂
ปล. ถ้าคนในโลก social เค้ามีเรื่องที่ต้องคิดต้องทำจนวุ่นวายไม่มีเวลาให้เรา ลองเอาความรู้สึกและเวลาของเรามาให้กับคนบนโลกความเป็นจริงบ้างก็น่าจะดีนะ ลองหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆน้องดูนะ เค้าอาจจะรอน้องอยู่ก็ได้ เพียงแต่ข้อความของเค้าไม่ได้มาเป็นตัวอักษรบนโทรศัพท์แต่บอกผ่านทางสายตา การสัมผัสและเสียงบ่นก็ได้ 🙂
Luv Luv
จากเจ้ที่เคยป่วยมาก่อน 🙂