“เป็นประจำเลยค่ะ ตอนเห็นของแล้วอยากได้มาก แต่ซื้อมาแล้ว ไม่รู้ซื้อมาทำอะไร พอจะมีทางแก้มั๊ยค่ะ”
Q: “เป็นประจำเลยค่ะตอนเห็นของแล้วอยากได้มากแต่พอซื้อมาแล้ว ไม่รู้ซื้อมาทำอะไรเสียดายเงินพอจะมีทางแก้มั๊ยค่ะ”
A: ต้องยอมรับว่า การซื้อเป็นความสุขประเภทหนึ่ง และเป็นความสุขประเภทฉับพลันเสียด้วยคือซื้อปุ๊ปก็รู้สึกมีความสุขขึ้นปั๊บแต่ถ้าเราลองคิดดูดีๆ การไม่ซื้อก็ทำให้เรามีให้ความสุขอีกแบบหนึ่ง คือไม่ต้องเสียเงินมากดังนั้นเราก็ไม่ต้องใช้วันเวลาในชีวิตไปกับหาเงินจนมากเกินไปถ้าอยากพักผ่อนหรือจัดสรรเวลาไปทำงานจิตอาสาไปหาประสบการณ์อะไรใหม่ก็สามารถทำได้ไม่ต้องห่วงเรื่องรายได้มากนักบ้านก็โล่งสะอาดตาไม่ระเกะระกะด้วยข้าวของและเราก็ไม่ต้องมีภาระในการดูแลจัดเก็บรักษาความสะอาดจนมากเกินไปถ้าพิจารณากันดีๆสุขจาการไม่ซื้อคือการพ้นทุกข์จากการซื้อนั่นเองเพราะฉะนั้นการซื้อไม่ได้มีแต่ความสุขแต่มีความทุกข์เป็นของแถมมาด้วย
จริงๆแล้วการจับจ่ายใช้สอยไม่ใช่เรื่องผิดอะไรข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ก็ต้องซื้อปัญหาเกิดจากการซื้อเกินความจำเป็นเมื่อเราเริ่มรู้ตัวแล้วว่าสิ่งที่ผลักดันให้เราซื้อเกินความจำเป็นคือ “ความอยากได้” เราก็ต้องฝึกฝนที่จะรู้เท่าทันและสร้างทักษะในการดูแลความอยากได้ของเราด้วยการเพิ่มสติและเหตุผลในการซื้อ
3 เทคนิคง่ายๆที่สามารถทำได้ทันที
1: เตรียมรายการซื้อก่อนออกไปซื้อ หากจะซื้อของที่นอกเหนือรายการต้องบอกตัวเองให้ได้ว่าของชิ้นนั้นจำเป็นแค่ไหนอย่างไรจะซื้อไปเพื่ออะไรจะใช้มากน้อยแค่ไหนคุ้มค่าหรือไม่ที่จะซื้อ
2: อย่าพกเงินสดจนมากเกินไป ถ้ามีบัตรเอทีเอ็มบัตรเครดิตบัตรเบิกเงินสดเราอาจติดสติ๊กเกอร์อะไรก็ได้เรียกว่าเป็นรหัสลับส่วนตัวทุกครั้งที่เห็นสติ๊กเกอร์นี้ให้เราระลึกถึงข้อที่สองก่อนใช้บัตร
3: ส่วนข้าวของที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ก็อาจนำไปบริหารให้เกิดประโยชน์ ผมเองก็เพิ่งจัดสรรหนังสือเพื่อแจกจ่ายให้กับห้องสมุดต่างๆไปหลายตั้งโตเหมือนกันบอกตรงๆว่าเสียดายไม่ใช่เสียดายที่ต้องยกให้หนังสือคนอื่นนะครับแต่เสียดายที่หนังสือดีๆต้องมากองอยู่ในบ้าน
ได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่างไรเขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ