ความสุขวงใน

เก็บความสุขไว้ในธนาคารใจ

หากเราอยากจะเก็บเงินไว้ใช้พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือ 10-20 ปีหลังจากนี้ เราจะไปที่ธนาคาร เลือกสถาบันที่มั่นใจที่สุด ดอกเบี้ยดีที่สุด เพื่อเก็บไว้ได้อย่างอุ่นใจ ดอกผลก็ไม่ต้องกังวล เพราะวันหนึ่งย่อมงอกเงยขึ้นมาอย่างแน่นอน แต่ความสุขในชีวิตเราล่ะ หากเราจะเก็บไว้ใช้พรุ่งนี้ มะรืนนี้ 10-20 ปีหลังจากนี้เราจะเก็บไว้ได้ที่ไหนกัน ดอกผลมันจะงอกเงยไหม สิ่งนามธรรมที่เรียกว่า ความสุข’ นั้นเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ทุกผู้คน แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นของที่เก็บไว้ไม่ได้เอาเสียเลย มีมาได้แป๊บๆ แล้วก็หายไป หายไวกว่าแดดร้อนๆ ตอนเที่ยงวันเสียอีก

ผู้ชายคนหนึ่งชื่อ เอ็ดดี้ พิทยากร ลีลาภัทร์กลับบอกว่าความสุขนี่เก็บออมได้ ไม่ใช่ว่าชีวิตเขามีดีพร้อม หรือเป็นลูกเจ้าของธนาคารหรอกนะ แม้ว่าเขาจะมาจากครอบครัวชนชั้นกลาง มีการศึกษาที่ดี เรียนจบปริญญาตรีเอกโฆษณา ทำงานในบริษัทใหญ่อย่างเครือซีเมนต์ไทย ลีโอเบอร์เนทท์ GMM Grammy และอื่นๆ อีกมากมาย เคยทำงานทั้งเป็นเซลล์แมน งานโฆษณา ขายประกัน ดีเจรายการวิทยุ จัดจำหน่ายภาพยนตร์ ฯลฯ แต่ความทุกข์ก็มาเคาะประตูใจของเขาเช่นมนุษย์คนอื่นๆ เขาจึงหาวิธีเก็บออมความสุขผ่านสิ่งที่เรียกว่า พุทธศาสนา’ และ ‘การภาวนา’

เอ็ดดี้เล่าให้ฟังว่า วัยเด็กเขาเติบโตที่เชียงใหม่และถูกเลี้ยงดูจากอาม่าซึ่งเป็นคนธรรมะธรรมโม แต่ละวันอาม่าจะอยู่บ้าน ไปโรงเจ และเข้าวัด สวดมนต์ทำวัตรและทำบุญอยู่เสมอ สนามเด็กเล่นของเด็กชายพิทยากรจึงเป็นสวนป่าในวัดอุโมงค์ ส่วนห้องสมุดก็เป็นร้านหนังสือในวัดที่เขามักหลบมุมอ่านนิทานธรรมะอยู่เสมอ

ตอนเด็กๆ อ่านไปก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าพระสองรูปเขาเถียงกันเรื่องอะไร ด้วยชีวิตแบบนี้ทำให้เราเห็นพระตั้งแต่เด็ก แล้วก็อยากบวช เพราะรู้สึกว่ามันดูดีมากเลย แต่ได้บวชจริงๆ ก็ตอนอายุ 48 ปี

พอเข้าช่วงวัยรุ่นเขาย้ายกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่กรุงเทพ ทำให้ชีวิตห่างวัดและธรรมะเช่นวัยรุ่นทั่วไป เขาชอบดูหนัง ฟังเพลง จีบสาว เรียนหนังสือ เมื่อเข้าสู่วัยทำงานก็มุ่งหาเงินทองและความสำเร็จ น่าแปลกว่าชีวิตที่ถูกต้องตามครรลองนี้น่าจะนำความสุขมาให้ แต่ก็ไม่เลย

ช่วงที่ทำงานก็สัมผัสทุกข์ เพราะอยากทำงานอย่างหนึ่ง นายให้ทำอีกอย่าง เราต้องไปเป็นเซลล์ ต้องง้อคน หรือเวลาที่ทำงานโฆษณาก็ต้องขายเหล้า เรารู้สึกไม่ดีเพราะมันขัดแย้งกับหลักการบางอย่างในใจเรา แต่ที่คับแค้นใจคือตอนมีแฟนแล้วมีความทุกข์ เราก็คิดว่าเราเป็นคนดีทำไมเจอเรื่องนี้เลยหาวิธีควบคุมชีวิต พยายามหาคำตอบ

จากต้นทุนเดิมในชีวิตทำให้เขาเข้าหาธรรมะ แต่อีกใจหนึ่งยังไม่รู้สึกไว้ใจพระสงฆ์ เนื่องจากได้ข่าวไม่ดีในแวดวงพระสงฆ์อยู่เสมอ จึงหันมาอ่านหนังสือและสวดมนต์ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกแทน พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานว่าหากสวดครบตามจำนวนที่ตั้งไว้ก็ขอให้เขาเข้าใจสิ่งที่สวดไป ต่อมาชายคนนี้จึงมีโอกาสได้ฝึกวิปัสสนาครั้งแรกกับครูฆราวาส แต่เมื่อไปซ้ำหลายๆ ครั้งกลับพบทางตัน เพราะเพ่งและตึงเครียดมากเกินไป เพื่อนจึงแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโชท่านก็ทักว่าเขาหลง แต่ไม่อธิบายอะไรมากนัก จนหลังจากนั้นได้ฟังธรรมและปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจึงเข้าใจทั้งปริยัติและปฏิบัติมากขึ้น

ท่านสอนเหมือนพระเซน บอกว่าเราหลงนะรู้ไหม เราก็งง เราก็ภาวนาอยู่ตลอด เวลาได้ยินอะไรก็ได้ยินหนอๆ ทำไมถึงหลงล่ะ จนมีโอกาสได้ฟังท่านเทศน์ ฟังซีดีท่านเรื่อยๆ จิตที่ล็อกอยู่ก็ค่อยๆ หลุดๆ เราก็รู้สึกตื่นขึ้น เวลาฟังธรรมแล้วมันเข้าไปในใจ หลังจากนั้นจึงเรียนกับท่านมาเรื่อยๆ

เอ็ดดี้เป็นคนที่สนใจหลายอย่าง เขาอยากเป็นดีเจ (และได้จัดรายการให้ Love FM 99.5 The Radio และ 98.5 Good FM อยู่หลายปี) อยากเป็นนักเขียน อยากเป็นครู อยากเป็นครีเอทีฟ ฯลฯ ในยุคที่เริ่มมีอินเทอร์เน็ต เขาเห็นคนมากมายเริ่มเขียนเรื่องของตัวเองผ่าน Blog ทำให้ลองเขียนเรื่องที่สนใจดูบ้าง เขาสนใจเรื่องจิตใจและการภาวนา เพราะเมื่อมุมมองต่อโลกเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยน ทุกๆ วันเขาจะเขียนวันละเรื่อง ตั้งแต่เรื่องธรรมะจริงจัง ความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับพุทธศาสนาเรื่องความรักความสัมพันธ์ จนไปถึงเรื่องจ๊ะ คันหู เขียนไปเขียนมา บล็อกดังกล่าวมีคนอ่านและติดตามมากมายจนสำนักพิมพ์ก็ติดต่อขอรวมเล่ม เขาจึงรวมเล่มในชื่อ ธนาคารความสุข’

วันหนึ่งเราอยู่บ้าน ไปรษณีย์มาส่งจดหมายจากธนาคาร ในซองจะมีใบปลิวขายประกันรูปแบบต่างๆ ทั้งประกันเดินทาง บ้าน รถ สุขภาพ ฯลฯ เราก็คิดว่า โอ้ โลกนี้มีประกันทุกอย่าง แต่ไม่มีใครประกันความสุข เราจะเอาความสุขไปฝากไว้ในธนาคาร เวลาเราทุกข์ค่อยไปเบิกก็ไม่ได้ ถ้าหากจิตใจเราเป็นธนาคาร เราสะสมเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์หรือเกิดสุข เราก่อหนี้หรือเก็บเงิน ผมคิดว่านี่เป็นคำถามที่น่าสนใจ จึงเขียนบทความชิ้นหนึ่งในชื่อนี้ขึ้นมาและสุดท้ายก็กลายเป็นชื่อหนังสือเล่มแรก

นอกจากจะเป็นหนังสือ สุดท้ายมันยังกลายเป็นเพจเฟสบุ๊คชื่อ ธนาคารความสุข’ ที่ปัจจุบันมีคนกดไลค์และติดตามเกือบ 300,000 คน เพราะนอกจากจะพูดเรื่องธรรมะและขายหนังสือ เขายังช่วยตอบคำถามคลายความทุกข์ให้กับคนในเพจแทบทุกวันอีกด้วย

แต่ละวันจะมีคนส่งคำถามมาหาเขา บางวัน 1-2 คำถาม บางวันมีถึง 10 กว่าคำถาม เอ็ดดี้ใช้เวลาทุกเช้าไล่ดูข้อความและช่วยตอบคำถามจากสิ่งที่เขาได้เรียนรู้เพื่อคลายใจทั้งผู้ถามและผู้อ่าน

เขาคิดว่าจริงๆ แล้ว ทุกข์’ กับ ปัญหา’ เป็นคนละส่วนกัน แต่คนเรามักจะเอาทุกอย่างมารวมกัน แม้เราจะแก้ปัญหาไม่ได้ทันที แต่เราปรับใจให้ทุกข์น้อยลงหรือหายทุกข์ได้ เมื่อเราจัดการความทุกข์ในใจได้แล้ว เราก็จะมีกำลังจัดการทุกข์ข้างนอก ในแต่ละวันแต่ละคนอาจจะเจอทั้งรถติด โดนโกง เมียมีชู้ ลูกติดยา ฯลฯ มันทำให้เราทุกข์ แต่ทุกข์นั้นเริ่มต้นจากใจเรา เพราะก่อนเรารู้เรื่องเหล่านี้สภาวะจิตใจเราเป็นปกติดี แต่ทันทีที่รู้จิตก็นำไปปรุงแต่ง ใจเรายอมรับไม่ได้ เมื่อเรามองเห็นใจที่เป็นแบบนี้ ทีละน้อยๆ ใจเราจะคลายออก เมื่อเราฝึกสติและปัญญามากพอ ทุกข์ที่มีอยู่จะไม่ใหญ่ขึ้น เราไม่สร้างปัญหาเพิ่มในขณะเดียวกันก็มีพลังใจที่จะดูแลจัดการไปตามเหตุปัจจัยที่มี

พี่พบว่าการคลายทุกข์ให้คนอื่นก็เป็นความสุขของเรา เราช่วยให้คนอื่นมีสัมมาทิฐิ เขาเห็นประโยชน์ของการมีสติ พอมีสัมมาทิฐิก็มีโอกาสที่เขาจะมีศรัทธาที่ถูกต้อง เขารู้ว่าพุทธเจ้าไม่ได้สอนอะไรลอยๆ ไม่ได้เชื่ออย่างไม่มีหลักฐาน พอมีศรัทธาว่าพุทธมันแก้ทุกข์ได้จริงๆ ก็ละสมุทัยได้ ละความอยากซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ได้ พอละความอยากได้ก็เกิดนิโรธ เพราะเห็นการละทุกข์ได้ในแต่ละครั้ง สุดท้ายมันอาจจะจูงใจให้เขาสนใจการภาวนา เข้าสู่ธรรมะภาคปฏิบัติ นี่เป็นวิธีการสืบทอดศาสนาอีกทางหนึ่ง

ปัจจุบันคุณเอ็ดดี้เป็นวิทยากร จัดเวิร์คช้อป จัดทริป และทำคอร์สเรียนออนไลน์ เกี่ยวกับความสุขและการจัดการความโกรธ โดยมีแก่นแกนคือการชักชวนคนมาฝึกสติ เข้าใจตนเอง และเข้าใจศาสนาอย่างถูกต้อง เขาคิดว่าคนยุคสมัยปัจจุบันนั้นมีความสนใจพระพุทธศาสนาและการพัฒนาตนเอง แต่ไม่เข้าวัด ด้วยความกลัว ความไม่วางใจ หรือยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ช่องทางต่างๆ ที่เขาทำอยู่ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ เฟสบุ๊ค การอบรม หรือทริป อาจเป็นประตูหนึ่งที่พาคนเข้าสู่ความสุขในใจ โดยตั้งใจตั้งราคาที่ไม่ถูกหรือไม่แพงเกินไป

ตั้งแต่ทำหนังสือก็คิดว่าจะขายหรือแจกดี เพราะเอาธรรมะมาเขียน จะขายก็ตะขิดตะขวงใจ แต่ก็คิดว่าถ้าแจกนี่ เราก็ต้องเรี่ยไรเงิน และถ้าเป็นหนังสือแจกก็ต้องไปวางตามวัด มันจะไปถึงมือคนที่เขารู้อยู่แล้ว แต่ถ้าขายตามร้าน คนอ่านจะเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง เวลาจะจัดคอร์สหรือทำอย่างอื่นก็ใช้หลักคิดเดียวกัน

 


หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วสนใจเก็บออมความสุขกับผู้ชายคนนี้ติดตามได้ที่เฟสบุ๊คธนาคารความสุข www.facebook.com/aston27 (เฟสบุ๊คถามตอบเรื่องธรรมะ) และ เฟสบุ๊ค Happiness Classroom ห้องเรียนแห่งความสุข www.facebook.com/HBclassroom (รวมข้อมูลการอบรม กิจกรรม ทริป และคอร์สเรียนต่างๆ)

และหากสนใจหนังสือธนาคารความสุข, ธนาคารความสุข สาขา 2, “เมื่อชีวิตถึงคราวต้องก้าวข้าม” (ธนาคารความสุข สาขา 3 ), “วิตามินแห่งความสุข” และ ธนาคารความสุข 4 สาขาบางรัก “ถามตามใจ ตอบตามจริง1-2” “เติมธรรมในช่องว่าง” และ “สุขใกล้ๆที่ไม่เคยเห็น” มีจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำ ได้แก่ ร้าน B2S ร้าน Se-Ed ร้าน คิโนะคูนิยะ (สาขาพารากอนและเซนทรัลเวิลด์) ร้านนายอินทร์ (บางสาขา) และศูนย์หนังสือจุฬาฯ

ความสุขประเทศไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save